วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับน่ารู้ - กินเพื่อสุขภาพ

เคล็ดลับน่ารู้ - กินเพื่อสุขภาพ
1. กินน้ำมะนาวปั่นสามารถแก้อาการเมาค้างได้จริงหรือ?
เฉลย ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปรืมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเราทำให้อาการเมาหายไปได้
2. เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่งจริงหรือ?
เฉลย จริง เพราะในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้
3. มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้จริงหรือ?
เฉลย จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่าคูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่าโรคนอนหลับได้อีกด้วย
4. ดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้จริงหรือ?
เฉลย ไม่จริง แต่การดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น
5. การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้จริงหรือ?
เฉลย ไม่จริง แต่การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัดเป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้องและท้องอืดหลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพักหนึ่ง
6. การกินเนยก่อนนอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้นจริงหรือ?
เฉลย จริง เพราะในเนยมีกรดอมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและสะกดให้หลับได้สนิทดีขึ้น
7. การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้จริงหรือ?
เฉลย จริง เพราะการที่คนเรามีอาการ เหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอยู่มากอีกด้วย
8. การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้จริงหรือ?
เฉลย จริง เพราะเลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหารไปเลี้ยงสมองได้น้อยลงสมองจึงค่อยๆ เสื่อม

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

**_เสริมสวยจากธรรมชาติ_**

เสริมสวยจากธรรมชาติ
- ผลไม้สดตามฤดูกาล เช่น แตงโม มะม่วง มะละกอ ถ้านำเอาเนื้อมาใส่โถปั่น ปั่นให้ละเอียด ใช้ลูบไล้ตามผิวหน้าจะทำให้ผิวชุ่มชื่นและเต่งตึงขึ้น มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับโลชั่นสมานผิว
- สตรอเบอรี่สด 5 ผล ไข่ไก่ 2 ฟอง น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ กลีเซอรีน 1 ช้อนโต๊ะ ใส่โถปั่น ใช้นวดผมหลังจากสระแล้ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก จะช่วยให้ผมที่แห้งเพราะแดดลมกลับนุ่มเป็นเงางาม ช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำมันหล่อเลี้ยงเส้นผม และมีกลิ่นหอมด้วย
- ลิ้นจี่ 10 ผล ปอกเปลือก คว้านเมล็ดออก เอาเนื้อลิ้นจี่ใส่โถปั่น คั้นเอาน้ำ เติมเกลือ น้ำเชื่อม ใส่น้ำแข็งทุบก้อนเล็กๆ หรือจะใส่ถ้วยแก้วเก็บไว้ในตู้เย็น ส่วนกากเนื้อลิ้นจี่ที่ได้จากการปั่น กรองเอาน้ำออกแล้วปั้นนำมาพอกหน้า สัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะรู้สึกทันทีเลยว่า ผิวหน้าตึง และเปล่งปลั่งขึ้น
- เมล็ดแตงหอม, เมล็ดฟักทอง, บวบ, แตงกวา ตากแห้งใส่เครื่องปั่นเป็นผง ผสมน้ำพอเหลว พอกหน้าแทนยาพอกหน้า ผิวหน้าจะนุ่มเนียนและละไม
- น้ำคั้นจาก แตงหอมแคนตาลู้ป ล้างหน้า ผิวหน้าจะสะอาด แทนโลชั่นบำรุงผิว เหมาะสำหรับคนผิวแห้ง
- น้ำคั้นจาก แตงหอมแคนตาลู้ป ผสม น้ำผึ้ง ทาผิวหน้า จะช่วยลอกหนังกำพร้าที่แห้งเป็นขุย ถ้าผสมกับ น้ำอัลมอนด์ เล็กน้อย ใช้ลอกหน้าได้เช่นเดียวกับน้ำยาลอกหน้า
ผลไม้ นอกจากรับประทานอร่อย มีประโยชน์ต่อร่างกายเพราะมีสารอาหารและวิตามิน นอกจากนี้ยังนำมาช่วยเสริมสวยได้ด้วย สำหรับผู้นิยมการทดลองเสริมความงามด้วยตนเอง มีผลไม้มากเหลือเกิน จะใช้ทดลองดังนี้
- นำเอา เปลือกแตงโม มาใส่เครื่องปั่น กรองเอาแต่น้ำ ใช้ล้างหน้า แล้วปล่อยทิ้งไว้ 15 นาที จึงล้างออก ลดความมันบนผิวหน้า มีคุณค่าเทียบได้กับแอสตริงเจ้น
- ตัก เนื้อแตงโม เป็นชิ้นๆ วางบนใบหน้าขณะนอนพัก ทิ้งไว้ประมาณ 15 ถึง 20 นาที จะช่วยให้ผิวนุ่ม รู้สึกผิวหน้าสดชื่นขึ้น
- นำ เนื้อแตงโม แตงกวา เนื้อฟักทอง อย่างละประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ เข้าเครื่องปั่นรวมกัน ใช้พอกหน้า ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำให้ผิวสะอาด เหมาะสำหรับคนผิวหน้าแห้ง
- ใช้ เนื้อแตงโม 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำผึ้ง 1-2 หยด และน้ำมันพืช 3-4 หยด ผสมให้เข้ากัน ใช้ทาผิวและลำคอ นวดให้ทั่วจนรู้สึกว่าส่วนผสมนี้ซึมเข้าในผิวหนัง แล้วล้างอก ช่วยลอกผิวที่แห้งแตกเป็นขุยให้หลุดออก
- นำเอา สตรอเบอรี่ มาใส่ชาม ตีด้วยส้อมให้เละ นำมาพอหน้าให้ทั่ว แล้วนอนพักสัก 15 นาที สารที่มีประโยชน์จะซึมเข้าสู่ใต้ผิวหนัง ช่วยให้หน้าหายมัน เหมาะกับคนที่เป็นสิว ฝ้า หน้าตกกระ เพราะในเนื้อสตรอเบอรี่มีสารบางชนิดที่ช่วยทำให้ผิวหน้าตึงเต่งขาวสดใส ทำให้ผิวหน้ามีเลือดฝาดสมบูรณ์
- ทำครีมทาหน้าจาก สตรอเบอรี่ ใช้น้ำมันลาโนลิน (ซื้อที่ร้านขายยา) 1 ส่วน น้ำมันมะกอก หรือ น้ำมันพืช 3 ส่วน น้ำคั้นจากสตรอเบอรี่ 2 ส่วน ใส่ในหม้อ 2 ชั้น เฉพาะลาโนลินกับน้ำมัน พอละลายยกออกมาทิ้งไว้ให้เย็น แล้วจึงค่อยๆ ผสมสตรอเบอรี่ลงไปทีละน้อย ตีด้วยส้อมแรงๆ ให้เข้าเป็นเนื้อเดียว ถ้าทำใช้เพียง 5-6 วัน ก็เก็บไว้ในตู้เย็นใช้จนหมด ถ้าต้องการเก็บไว้ใช้นานๆ เหมือนครีมบำรุงผิวจากกระปุก ให้ผสมน้ำมันวีทเจิร์ม (ซื้อที่ร้านขายยา) 1 ส่วน ในส่วนผสมเดิม 10 ส่วน เติมวิตามินอี เทออกจาแคปซูล 4 เม็ด เก็บไว้ใช้ได้นาน
- ผิวแห้งหยาบ แตก เป็นริ้วรอย ริมขอบตามีรอยตีนกา มีสิวฝ้าบริเวณใบหน้า สามารถใช้ เนื้อมะม่วงสุก ยีจนเละ พอกหน้าเว้นบริเวณรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที น้ำมะม่วงที่เหลือที่เหลือให้นำมาทาข้อศอก ลำคอ หลังมือ แล้วจึงอาบน้ำชำระล้างให้สะอาด ผิวจะนุ่มนวลจนผิดสังเกต
- ส้มเขียวหวาน 1 ผล แตงกวา 1 ผล คั้นเอาแต่น้ำ น้ำกุหลาบ 3 ช้อนหวาน แอลกอฮอล์ 2 ช้อนหวาน เขย่าให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวกัน ทาให้ทั่วผิวหน้า แล้วใช้กระดาษทิชชูเช็ดออก เก็บไว้ในตู้เย็นใช้จนกว่าจะหมด จะช่วยการไหลเวียนของโลหิต ทำให้ผิวหนังเต่งตึงสะอาด
- นำเอา แตงกวา 3 ลูก หั่นแล้วใส่โถ ปั่นจนเละ คั้นเอาแต่น้ำทา บำรุงผิวอย่างดี
เสริมสวยจากธรรมชาติ มีวิธีการที่ใช้ของใช้ของกินมาบำรุงบำเรอโฉม ซึ่งเชื่อกันว่าจะสามารถให้ผลได้ และทำเองได้หลายชนิดด้วยกัน ตัวอย่างดังนี้
- ใช้ นมเปรี้ยว ทำให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้านุ่มเนียนละมุน
- โยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ นมเปรี้ยว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำนมสด 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ใส่แก้วคนให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้า ทิ้วไว้ให้แห้ง แล้วล้างออก ผิวจะเต่งตึง และช่วยแก้ปัญหาสิวบนใบหน้า
- ข้าวโอ๊ต 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ นมสด 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็นจะทำให้ผิวหน้าสดชื่น
- ขี้ผึ้ง 2 ส่วน กลีเซอรีน 2 ส่วน น้ำกุหลาบ 1 ส่วน ผสมกันแล้วใส่ภาชนะที่มีฝาปิด เก็บไว้ในตู้เย็น ใช้ทาผิวหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ช่วยลบรอยย่นบนใบหน้า ช่วยให้ผิวหน้าสวยตามธรรมชาติ และช่วยไม่ให้ผิวหน้าแห้ง
- ใช้แปรงขนตาจุ่มน้ำละหุ่ง ปัดขนตาเสมอ แล้วทาขนตาด้วยลาโนลิน หรือน้ำมันที่ทำจากไขสัตว์ จะช่วยให้ขนตายาว
- ทำครีมพอกหน้าด้วยสตรอเบอรี่ น้ำคั้นจากสตรอเบอรี่สด 2 ส่วน น้ำมันลาโนลิน 1 ส่วน น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันพืช 3 ส่วน ใส่ในหม้อ 2 ชั้น (หม้อตุ๋น) ตั้งไฟให้เดือด พอลาโนลินกับน้ำมันละลาย ยกออกทิ้งไว้ให้เย็น ค่อยๆ ผสมน้ำสตรอเบอรี่ลงไปทีละน้อยๆ ตีแรงๆ ให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว ถ้าต้องการเก็บไว้นาน ผสมน้ำยาวีทเจิร์ม 1 ส่วนในส่วนผสมที่ทำ 10 ส่วน เติมวิตามินอีที่เทออกจากแคปซูล 4 แคปซูล เพื่อช่วยบำรุงผิว ใช้พอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดจะช่วยให้ผิวหน้านุ่มนวล
- ใช้แตงกวาฝานบางๆ ปิดลงบนเปลือกตา ใต้ขอบตา หลับตาประมาณ 2-3 นาที จะช่วยให้บริเวณดวงตาสดชื่นขึ้น
- ผมจะสวยดกดำ ถ้าบำรุงด้วยไข่แดงผสมน้ำมันมะกอก ละเลงให้ทั่วศีรษะ แล้วสระผมให้สะอาด
- ใช้น้ำมันมะกรูดสระผม จะช่วยป้องกันผมร่วง ผ่ามะกรูดซึ่งอังไฟให้ร้อน แล้วใช้น้ำมะกรูดนวดศีรษะ ทิ้งไว้สักครู่ แล้วจึงล้างออก
- ใช้ผ้าขนหนูเนื้อนุ่ม จุ่มน้ำอุ่น บิดพอหมาด วางทาบลงบนใบหน้าเพื่อเปิดรูขุมขน นำน้ำมะนาว 1 ช้อนชา นมเปรี้ยว 1/2 ถ้วยตวง น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกัน ทาหน้า ตั้งแต่หน้าผากลงมาจึนถึงจมูกเป็นรูปตัวที และบริเวณที่มีความมันมากๆ ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที แล้วล้างด้วยน้ำอุ่น ต่อจากนั้นก็ใช้น้ำเย็นล้างออก เพื่อเป็นการปิดรูขุมขน
- ผู้ที่มีผิวหน้าแห้ง ให้ใช้กล้วยสุก 1 ผล ตีจนเละ ใช้พอกหน้า 10 นาที แล้วล้างให้สะอาด จะทำให้ผิวหน้านุ่มนวลขึ้น
- กล้วยสุกที่ยีจนเละ ผสมน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันถั่ว พอเหลว ใช้ทาผิว คุณภาพเป็นครีมบำรุงผิว แล้วอาบน้ำ ล้างให้สะอาด

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Christmas

Christmas





Christmas[2] or Christmas Day[3][4] is an annual holiday celebrated on December 25 that commemorates the birth of Jesus of Nazareth.[5][6] The date of commemoration is not known to be Jesus' actual birthday, and may have initially been chosen to correspond with either a historical Roman festival[7] or the winter solstice.[8] Christmas is central to the Christmas and holiday season, and in Christianity marks the beginning of the larger season of Christmastide, which lasts twelve days.[9]
Although traditionally a
Christian holiday, Christmas is widely celebrated by many non-Christians,[1][10] and some of its popular celebratory customs have pre-Christian or secular themes and origins. Popular modern customs of the holiday include gift-giving, Christmas carols, an exchange of greeting cards, church celebrations, a special meal, and the display of various decorations; including Christmas trees, lights, and garlands, mistletoe, nativity scenes, and holly. In addition, Father Christmas (known as Santa Claus in North America, Australia and Ireland) is a popular mythological figure in many countries, associated with the bringing of gifts for children.[11]
Because
gift-giving and many other aspects of the Christmas festival involve heightened economic activity among both Christians and non-Christians, the holiday has become a significant event and a key sales period for retailers and businesses. The economic impact of Christmas is a factor that has grown steadily over the past few centuries in many regions of the world.
Commemoration of Jesus' birth
Main articles: Annunciation, Nativity of Jesus, and Child Jesus
In Christianity, Christmas is the festival celebrating the Nativity of Jesus, the Christian belief that the Messiah foretold in the Old Testament's Messianic prophecies was born to the Virgin Mary. The story of Christmas is based on the biblical accounts given in the Gospel of Matthew, namely Matthew 1:18-Matthew 2:12 and the Gospel of Luke, specifically Luke 1:26-Luke 2:40. According to these accounts, Jesus was born to Mary, assisted by her husband Joseph, in the city of Bethlehem. According to popular tradition, the birth took place in a stable, surrounded by farm animals, though neither the stable nor the animals are specifically mentioned in the Biblical accounts. However, a manger is mentioned in Luke 2:7 where it states "She wrapped him in cloths and placed him in a manger, because there was no room for them in the inn." Early iconographic representations of the nativity placed the stable and manger within a cave (located, according to tradition, under the Church of the Nativity in Bethlehem). Shepherds from the fields surrounding Bethlehem were told of the birth by an angel, and were the first to see the child.[13] Many Christians believe that the birth of Jesus fulfilled prophecies from the Old Testament.[14]
Christians celebrate Christmas in many ways. In addition to this day being one of the most important and popular for the attendance of church services, there are numerous other devotions and popular traditions. Prior to Christmas Day, the Eastern Orthodox Church practices the Nativity Fast in anticipation of the birth of Jesus, while much of the Western Church celebrates Advent. People decorate their homes, and exchange gifts. In some Christian denominations, children perform plays re-telling the events of the Nativity, or sing carols that reference the event. Some Christians also display a small re-creation of the Nativity, known as a Nativity scene or crib, in their homes, using figurines to portray the key characters of the event. Live Nativity scenes and tableaux vivants are also performed, using actors and live animals to portray the event with more realism.[15]
There is a very long tradition of producing painted depictions of the nativity in art. Nativity scenes are traditionally set in a barn or stable and include Mary, Joseph, the child Jesus, angels, shepherds and the Three Wise Men, Balthazar, Melchior, and Caspar, who are said to have followed a star, known as the Star of Bethlehem, and arrive after his birth.[16]
Christmas worldwide
Main article:
Christmas worldwide
Christmas Day is celebrated as a major festival and public holiday in most countries of the world, even in many which are not majority Christian. In some non-Christian countries periods of former colonial rule introduced the celebration, in others, Christian minorities or foreign cultural influences have led populations to take it up. Major exceptions, where Christmas is not a formal public holiday, include China, (excepting Hong Kong and Macao), Japan, Saudi Arabia, Algeria, Thailand, Nepal, Iran, Turkey and North Korea.
While most countries celebrate Christmas on December 25 each year, some national churches including those of
Russia, Georgia, Egypt, Armenia, the Ukraine and Serbia celebrate on January 7. This is because of their use of the traditional Julian Calendar, under which December 25 falls on January 7 as measured by the standard Gregorian Calendar.
Around the world, Christmas celebrations can vary markedly in form, reflecting differing cultural and national traditions. Countries like Japan and Korea where Christmas is popular despite there being only a small number of Christians, adopt many of the secular trappings of Christmas such as gift-giving, decorations and Christmas trees

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เทคนิคการอ่านภาษาอังกฤษ

เทคนิคการอ่านภาษาอังกฤษ


จากการเคยทำข้อสอบเกี่ยวกับ ส่วนของ reading ที่เราเคยกลัวและคิดว่าเป็นเรื่องยาก แต่เราได้เทคนิดดี ๆ มาฝาก เริ่มจากการต้องปรับเปลี่ยนวิธีการอ่าน จากที่เคยอ่านแบบละเอียดแปลทุกข้อความ หรือคิดว่าต้องรู้ศัพท์ทุกตัวจึงจะทำข้อสอบหรืออ่านได้ดี แต่เป็นการคิดผิด ความจริงไม่จำเป็นเลยที่ต้องเข้าใจคำศัพท์ทุกตัว เทคนิคการอ่านจับใจความด้วยเวลาที่รวดเร็วสรุปแล้วสำหรับเรามีหลักอยู่ 5 ข้อ


1. ขั้นแรกถ้าในการทำข้อสอบ เราต้องเริ่มที่คำถาม เพราะว่าในการสอบอ่านตั้งมากมายเพื่อมาตอบคำถามเพียง 4-5 คำถาม ดังนั้นเราควรตรวจสอบคำถามก่อน ทำให้ลดขอบเขตที่ต้องสนใจหรือจับใจความสำคัญลดลง


2. หลังจากตรวจสอบคำถาม เราก็มาเริ่มอ่านโดยอ่านอย่างรวดเร็ว และอ่านรวดเดียวจนจบเรื่อง อย่าพยายามกลับมาอ่านประโยคที่อ่านผ่านไปแล้ว เพราะมันจะทำให้เรางง และก็งง


3. อย่าสะดุดนะเมื่อเจอคำศัพท์ที่ตนไม่รู้ นี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนส่วนมาก รวมทั้งเราที่เป็นหนึ่งในนั้น มันไม่จำเป็นเลยที่เราต้องรู้ความหมายของศัพท์ทุกตัว เพราะสามารถเดาความหมายได้จากบริบทคำแวดล้อมได้ จะได้ลองหัดเดาคำศัพท์ด้วยไง


4. จินตนาการ เป็นสิ่งที่สำคัญเพราะบางที่ทำให้เราได้เข้าใจสิ่งที่เค้าต้องการจะบอกได้ดีและพยายามเดาเรื่องราว วาดภาพในใจตามไปด้วยเช่นถ้ากล่าวถึงหมีแพนด้า เราก็จินตนาการภาพไปด้วยว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร หรือว่ามันอาศัยอยู่ที่ไหน กินอะไรเป็นอาหาร ก็ทำให้เราเข้าใจเนื้อเรื่องมากขึ้น


5. พยายามสรุปในสิ่งที่อ่านเค้าต้องการบอกอะไร และสามารถตั้งคำถามเอง ตอบเองได้ และฝึกฝนด้วยการอ่านให้มากขึ้นก็มีเทคนิดการอ่านแต่ละประเภทแยกย่อยไปอีกแล้วเดี๋ยวมาแยกประเภทการอ่านอีกทีนะ ซึ่งตอนนี้เรากำลังปรับเปลี่ยนตัวเองให้ไม่ยึดติดกับการแปลความหมายคำต่อคำ นอกจากรูปประโยคที่แปลไม่สวย แล้วยังแปลผิดๆ ถูกๆ อีก

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

รวมเทคนิคการอ่านหนังสือสอบมาฝาก

รวมเทคนิคการอ่านหนังสือสอบมาฝาก


1.ต้องเลิกเที่ยว เลิกดื่ม เลิกสร้างบรรยากาศที่ไม่ใช่การเตรียมสอบ เลิก chat ตอนดึกๆ เลิกเม้าท์โทรศัพท์นานๆ ตัดทุกอย่างออกไป ปลีกวิเวกได้เลย ต้องทำให้ได้ ถ้าไม่ได้อย่าคิดเลยว่าจะสอบติด ฝันไปเถอะ

2.ตัดสินใจให้เด็ดขาด ว่าต่อไปนี้จะทำเพื่ออนาคตตัวเอง บอกเพื่อน บอกพ่อแม่ บอกทุกคนว่า อย่ารบกวน ขอเวลาส่วนตัว จะเปลี่ยนชีวิต จะกำหนดชีวิตตัวเอง จะกำหนดอนาคตตัวเอง เพราะเราต้องการมีอนาคตที่กำหนดได้ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่

3.ถ้าทำ 2 ข้อไม่ได้ อย่าทำข้อนี้ เพราะข้อนี้คือ ให้เขียนอนาคตตัวเองไว้เลยว่า จะเรียนต่อคณะอะไร จบแล้วจะเป็นอะไร เช่น จะเรียนพยาบาล ก็เขียนป้ายตัวใหญ่ๆ ติดไว้ข้างห้อง มองเห็นตลอดเลยว่า “เราจะเป็นพยาบาล” จะเรียนแพทย์ก็ต้องเขียนไว้เลยว่า “ปีหน้าจะไปเหยียบแผ่นดินแพทย์ศิริราช-จุฬา” อะไรทำนองนี้ เพื่อสร้างเป้าหมายให้ชัดเจน

4.เตรียมตัว สรรหาหนังสือ หาอาจารย์ติว หาเพื่อนคนเก่งๆ บอกกับเค้าว่าช่วยเป็นกำลังใจให้เราหน่อย ช่วยเหลือเราหน่อย หาหนังสือมาให้ครบทุกเนื้อหาที่จะต้องสอบ เตรียมห้องอ่านหนังสือ โต๊ะ เก้าอี้ โคมไฟ ให้พร้อม

5.เริ่มลงมืออ่านหนังสือ เริ่มจากวิชาที่ชอบ เรื่องที่ถนัด ก่อน ทำข้อสอบไปด้วย ทำแบบฝึกหัดจากง่ายไปยาก ค่อยๆ ทำ ถ้าท้อก็ให้ลืมตาดูป้าย ดูรูปอนาคตของตัวเอง ต้องลงมืออ่านอย่างจริงจัง อย่างน้อยวันละ 10 ชั่วโมง แล้วจะทำได้ไง วิธีการคือ อ่านทุกเมื่อที่มีโอกาส อ่านทุกครั้งที่มีโอกาส หนังสือต้องติดตัวตลอดเวลา ว่างเมื่อไรหยิบมาอ่านได้ทันที อย่าปล่อยให้ว่างจนไม่รู้จะทำอะไร ที่สำคัญอ่านแล้วต้องมีโน้ตเสมอ ห้ามนอนอ่าน ห้ามกินขนม ห้ามฟังเพลง ห้ามดูทีวี ห้ามดูละคร ดูหนัง อ่านอย่างเดียว ทำอย่างจริงจัง

6.ข้อนี้สำคัญมาก หากท้อให้มองภาพอนาคตของตัวเองไว้เสมอ ย้ำกับตัวเองว่า “เราต้องกำหนดอนาคตของตัวเอง ไม่มีใครกำหนดให้เรา เราต้องทำได้ เพราะไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” ให้กำลังใจกับตัวเองอยู่เสมอ บอกกับตัวเองอย่างนี้ทุกวัน หากท้อ ขอให้นึกว่า อย่างน้อยก็มีผู้เขียนบทความนี้เป็นกำลังใจให้น้องๆ เสมอ นึกถึงภาพวันที่เรารับปริญญา วันที่เราและครอบครัวจะมีความสุข วันที่คุณพ่อคุณแม่จะดีใจที่สุดในชีวิต ต่อไปนี้ต้องทำเพื่อท่านบ้าง อย่าเห็นแก่ตัว อย่าขี้เกียจ อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง เลิกนิสัยเดิมๆ เสียที


การจัดตารางการอ่านหนังสือ


จริงๆ แล้วการอ่านหนังสือตอนที่พี่อ่านเตรียมสอบ ไม่ได้จัดตารางเลยครับ เพราะเคยทำแล้ว ทำไม่ได้ แล้วจะอ่านให้มีประสิทธิภาพทำอย่างไร ตอบได้คำเดียวครับ “อ่านเมื่ออยากอ่าน” แต่ต้องไม่ใช่ว่ามีแต่ไม่อยากอ่านนะ ต้องทำให้อยากอ่านบ่อยๆ อยากอ่านมากๆ อยากรู้มากๆ เพื่อให้การอ่านมีประสิทธิภาพ ครับ อ่านทุกเวลาที่สามารถทำได้นั่นแหละดีที่สุด เพื่อนพี่เคยติดสูตรไว้ในห้องน้ำ พกสูตรติดตัว พกโน้ตย่อไว้ที่กระเป๋าเสื้อตลอดเวลา บางคนมีหนังสือติดตัวทุกที่ เพื่อให้ อยากอ่านเมื่อไร ก็หยิบขึ้นมาอ่านได้ทันที ไม่ต้องรอเวลา ไม่ต้องจัดตาราง
เอาละ แล้วถ้าจะจัดตารางเวลาอ่านหนังสือ จะทำยังไงดี พี่ขอว่าเป็นข้อๆ เลยดีกว่าครับ
1. เลือกเวลาที่เหมาะสม เวลาที่เหมาะสมหมายความว่า เวลาที่น้องต้องการจะอ่าน เวลาที่ว่างจากงานอื่น เวลาที่อยากจะอ่านหนังสือ หรือเป็นเวลาที่อ่านแล้วได้เนื้อหามากที่สุด เข้าใจมากที่สุด เวลาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบอ่านตอนเช้าตรู่ บางคนชอบอ่านตอนกลางคืนก่อนนอน บางคนชอบอ่านเวลากลางวัน แล้วแต่การจัดสรรเวลาของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน น้องต้องเลือกดูเวลาที่เหมาะสมของตัวเองนะครับ การจัดเวลาต้องให้ได้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงครับ วันนึงถ้าอ่านหนังสือแค่วันละ 2 ชั่วโมงน้อยมาก

2. วางลำดับวิชาและเนื้อหา ขั้นตอนต่อมา คือ เลือกวิชาที่จะอ่าน มีหลักง่ายๆ คือ เอาวิชาที่ชอบก่อน เพื่อให้เราอ่านได้เยอะๆ และอ่านได้เร็ว ควรเลือกเรื่องที่ชอบอ่านก่อนเป็นอันดับแรก จะได้มีกำลังใจอ่านเนื้อหาอื่นต่อไป ไม่แนะนำวิชาที่ยาก และเนื้อหาที่ไม่ชอบนะครับ เพราะจะทำให้เสียเวลาเปล่า การอ่านหนังสือควรอ่านให้ได้ตามที่เราวางแผนเอาไว้ วิธีการก็คือ List รายการหรือเนื้อหา บทที่จะอ่านให้หมด จากนั้นค่อยเลือกลำดับเนื้อหาว่าจะอ่านเรื่องใดก่อนหลัง แล้วค่อยลงมืออ่าน

3. ลงมือทำ ยังไง ถ้าไม่มีข้อนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จ การลงมือทำคือการลงมืออ่านอย่างจริงจัง อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เหมือนกับที่พี่เคยเขียนไว้ว่า อย่าฝากอนาคตของตัวเองไว้กับความขี้เกียจของวันนี้ บางคนลงมือทำ แต่ไม่จริงจัง ก็ไม่ได้นะครับ ขอให้นึกถึงชาวนาแล้วกัน ถ้าลงมือทำนาเริ่มตั้งแต่หว่าน ไถ แล้วทิ้งค้างไว้แต่ไม่ทำให้สำเร็จ ไม่ดูแลจนกระทั่งเก็บเกี่ยว หรือทิ้งไว้ไม่เก็บเกี่ยว การทำนาก็จะไม่สำเร็จ เราก็จะไม่มีข้าวกิน ดังนั้น ขอให้น้องๆ “ทำอะไร ทำจริง” แล้วกันนะครับ ทำให้ได้จริงๆ

4. ตรวจสอบผลงาน ผลของการอ่าน ดูได้จากว่า ทำข้อสอบได้หรือไม่ ถ้าอ่านแล้วทำข้อสอบได้ ก็แสดงว่าอ่านรู้เรื่อง อ่านเข้าใจ ได้เนื้อหาจริงๆ แต่ถ้าอ่านแล้วทำข้อสอบไม่ได้ ก็ต้องกลับไปทบทวนใหม่ พี่ขอแนะนำว่า อ่านแล้วต้องจดบันทึกไว้ด้วยนะครับ จะได้รู้ว่า เราอ่านไปถึงไหนแล้ว และอ่านไปได้เนื้อหาอะไรบ้าง การจดบันทึก ก็คือการทำโน้ตย่อนั่นแหละ ทำสรุปไว้เลยว่าอ่านอะไรไปแล้วบ้าง เก็บไว้ให้มากที่สุด จะได้เป็นผลงานของตัวเอง เก็บไว้อ่านเมื่อต้องการ เก็บไว้อ่านตอนใกล้สอบ อยากจะบอกว่าช่วงนี้ยังมีเวลาเพียงพอสำหรับการเริ่มต้นที่ดี ยังไม่สายเกินไปหากคิดจะเริ่มอย่างจริงจัง อย่าอ่านเพียงแค่ได้เปิดหนังสือ อย่าโกหกตัวเองว่าได้อ่านแล้ว อย่าหลอกตัวเอง อย่าหลอกคนอื่น ความรู้ไม่สามารถลอกเลียนแบบกันได้ หลอกคนอื่นอาจหลอกได้ หลอกตัวเองไม่ได้แน่นอน คนที่รู้จักเรามากที่สุดก็คือ ตัวเราเองนี่แหละ ตั้งใจทำ ทำเพื่ออนาคตของตัวเองนะครับ ขอให้โชคดีประสบความสำเร็จครับ

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

** งานองค์พระปฐมเจย์ดี **

เทศกาลงานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ปี 52


ข้อมูลพระธรรมปริยัติเวที เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร ประธานจัดงานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ปี 2552 กล่าวว่า องค์พระปฐมเจดีย์ วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม เป็นปูชนียสถานที่สำคัญยิ่งเป็นศูนย์รวมแห่งสถาบันสำคัญทั้งสาม คือสถาบันชาติ สถาบันพระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นพระเจดีย์ที่ก่อสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีอายุนับพันปีภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่เคารพบูชาของ พุทธศาสนิกชนทั่วโลก ครั้งโบราณได้กำหนดการจัดงานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ในวันเพ็ญกลางเดือน 12 เป็นประจำทุกปี ประเพณีสืบทอดตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพื่อจะได้บูชาพระบรมสารีริกธาตุ ประหนึ่งมาเฝ้าอยู่เบื้องพระยุคลบาทแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงนับว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐสุด และอีกประการหนึ่งก็เพื่อจะได้ช่วยกันบริจาคเงินสมทบทุนไว้บูรณปฏิสังขรณ์ องค์พระปฐมเจดีย์ให้ยืนยงคงอยู่ตลอดไป

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

23 ตุลาคม วันปิยมหาราช

23 ตุลาคม วันปิยมหาราช


วันปิยมหาราช เป็นวันที่เหล่าพสกนิกรชาวไทย นำดอกไม้ธูปเทียนพวงมาลา มาถวายบังคมต่อพระบรมราชานุสรณ์ ของพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือพระปิยมหาราชเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหาธิคุณนานาประการ ที่พระองค์มีต่อปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพศืรินทราบรมราชินี ประสูติเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 ตรงกับวันอังคาร เดือน 10 แรม 3 คํ่า ปีฉลู ณ พระตำหนัก ตึกด้านหลังองค์พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง ทรงมีพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ครั้นมีพระชนมายุ 15 พรรษา ทรงได้รับเลื่อนกรมขึ้นเป็น กรมขุนพินิจประชานาถ

ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิจประชานาถ จึงได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ขณะนั้นพระองค์มีชนมายุย่างเข้า 16 พรรษา นับเป็นพระมหากษัริตย์องค์ที่ 5 แห่งพระบรมราชจักรีวงค์ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

หลังจากที่ขึ้นครองราชย์แล้วพระองค์ได้ทะนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าเพื่อหวังให้ทัดเทียมกับบรรดานานาอารยประเทศ ทรงโปรดให้มีการจัด การปฏิรูประเบียบแบบแผนการปกครอง เปลี่ยนแปลงแก้ไขจัดระเบียบราชการบริหารเสียใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับความ ต้องการของกาลสมัย ได้มีการแต่งตั้งตำแหน่งเสนาบดีและกระทรวงเพิ่มขึ้นใหม่ โดยแบ่งเป็น 12 ส่วน คือ กระทรวงมหาดไทย กรมพระกลาโหม กรมทำ กรมวัง กรมเมือง กรมนา กรมพระยาคลัง กรมยุติธรรม กรมยุทธนาธิการ กรมธรรมการ กรมโยธาธิการ และกรมมุรธาธิการ

นอกจากนี้ยังได้มีการให้ชำระกฏหมายและสร้างประมวลกฏหมายขึ้นมา สำหรับการศาลนั้นให้มีการตั้งกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2434 การศาสนาได้ให้มีการชำระและพิมพ์พระไตรปิฏก โดยโปรดให้สร้างพระไตรปิฏกฉบับทองทึบด้วคัมภีร์ใบลาน เมื่อปี พ.ศ. 2431 ตราพระราชบัญญติลักษณะการปกครองสงฆ์ ในปี พ.ศ. 2445 และโปรดให้มีการสร้างวัดสำคัญๆเช่น วัดเบญจมบพิตร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วัดเทพศิรินทราวาส วัดราชาธิวาส (โปรดให้รื้อใหม่หมด ) วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ (บางปะอิน) วัดอัษฎางคนิมิตร และวัดจุฐาทิศธรรมสภาราม (อยู่ที่เกาะสีชัง )

อีกทั้งโปรดให้มีการบูรณะวัด ได้แก่ วัดศรีรัตนศาสดาราม วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ วัดมงกฏกษัตริยาราม พระพุทธบาทสระบุรี วัดสุวรรณดาราม ( พระนครศรีอยุธยา ) พระปฐมเจดีย์ทรงสร้างต่อมาจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ

สำหรับการสาธารณูปโภค ได้มีการตั้งธนาคารไทยขึ้นในปี พ.ศ. 2447 โดยพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ร่วมกับกลุ่มบุคคลคณะหนึ่ง ก่อตั้งะนาคารไทยแห่งแรกขึ้น เรียกว่า บุคคลัภย์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2445 ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจดทะเบียนเป็น บริษัท แบงค์สยามกัมมาจลทุน จำกัด ดำเนินกิจการตามแบบสากล โดยคนไทยทั้งคณะ

นอกเหนือจากนี้ยังมีกิจการ การไฟฟ้า เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลของพระองค์ ในปี พ.ศ. 2433 การประปา ในปี พ.ศ. 2452 การพยาบาลและสาธารณสุข พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนประเดิมให้สร้างโรงพยาบาลวังหลัง ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น โรงพยาบาลศิริราช โดยเริ่มเปิดดำเนินงานในวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2431

การขนส่งและการสื่อสาร โปรดให้มีการสำรวจพื้นที่สร้างทางรถไฟ จากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2431 และในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2434 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปขุดดินก่อพระฤกษ์ เริ่มสร้างทางรถไฟสายนครราชสีมา นับเป็นรถไฟหลวงสายแรก (ทางรถไฟราษฎร์สายแรก คือ สายกรุงเทพ - ปากนํ้า ดำเนินงานโดยชาวเดนมาร์กคณะหนึ่ง เริ่มเปิดบริการเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2436 ระยะทาง 21 กม. )

การไปรษณีย์ โปรดให้ตั้งกรมไปรษณีย์เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2426 เปิดกิจการเมื่อ วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2426 โดยเปิดใน พระนครเป็นปฐม ส่วนการโทรเลข ได้เริ่มงานในปี พ.ศ. 2412 โดยโปรดให้ชาวอังกฤษ 2 นายประกอบการขึ้น แต่ไม่สำเร็จ ทางราชการกระทรวงกลาโหมจึงรับช่วงมาทำเอง เมื่อปี พ.ศ. 2418 โทรเลขสายแรก คือ สายระหว่างกรุงเทพฯ กับ สมุทรปราการ ซึ่งยาว 45 กม. และยังมีสายใต้นํ้าที่วางต่อไปจนถึงประภาคารที่ปากนํ้าเจ้าพระยา

การโทรศัพท์ กรมกลาโหมได้นำมาใช้ในขั้นทดลองเมื่อปี พ.ศ. 2424 โดยติดตั้งจากกรุงเทพ ฯ ถึงสมุทรปราการ เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2429 กรมโทรเลขได้รับโอนงานมาจัดตั้งโทรศัพท์กลางขึ้นในพระนคร และเปิดให้ประชาชนเช่าใช้โทรศัพท์ ติดต่อสื่อสารกันด้วย

(น้อย อาจาริยางกูร ) เป็นอาจารย์ใหญ่ ปี พ.ศ. 2422 โปรดให้ตั้งโรงเรียนขึ้นที่พระราชวังนันทอุทยาน สวนอนันต์ ธนบุรี ปี พ.ศ. 2424 โปรดให้ตั้งโรงเรียน กรมมหาดเล็กแล้วยกเป็นโรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก ในปี พ.ศ. 2425 ย้ายไปอยู่พระตำหนักสวนกุหลาบ จึงเรียกกันว่า โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ นอกจากนี้ยังส่งเสริมเกี่ยวกับการศึกษาในต่างประเทศโดยทุนหลวง ฯลฯ

ในด้านวรรณคดี ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน ไกลบ้าน เงาะป่า ลิลิตนิทราชาคริต ฯลฯ และในรัชสมัยของ พระองค์ได้เกิดกวีนักปราชญ์คนสำคัญมากมาย อาทิเช่น พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย ) ผู้ประพันธ์แบบเรียนภาษาไทย 6 เล่ม และพรรณพฤกษากับสัตววาภิธาร ซึ่งแต่งใกล้ๆกันทั้งสองเรื่องในระยะ พ.ศ. 2427 เพื่อเป็นแบบสอนอ่นภาษาไทย นอกจากนี้ยังมี พระองค์เจ้าบรมวงค์เธอ กรมพระนราธิปประพันธพงค์ ซึ่งสร้างผลงานวรรณกรรมช้นเอกไว้มากมาย เช่น สาวเครือฟ้า อาหรับราตรี จดหมายเหตุลาลูแบร์ ทรงใช้พระนามแฝงว่า " ประเสริฐอักษร " กวีท่านอื่นๆ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงค์เธอ พระะยาดำรงราชานุภาพ ผู้ทรงพระนิพนธ์ไทยรบพม่า นิราศนครวัด และ เทียนวรรณ ผู้มีผลงานทางวรรณคดีหลายเรื่อง
พระองค์ทรงโปรดให้มีการตั้งหอพระสุมดสำหรับพระนคร โดยรวมหอพระสมุดเดิม 3 นคร ในปี พ.ศ. 2417 ตั้งโบราณคดีสโมสร ในปี พ.ศ. 2450

ด้านการต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงขึ้นครองราชย์ในช่วงที่กำลังมีการล่าอาณานิคม แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นมาได้ แม้จะต้องเฉือนแผ่นดินบางส่วนให้ปไเรียกว่าเป็นการเสียแผ่นดิดแดน บางส่วน แต่ก็ยังสามารถรักษาเอกราชไว้ได้

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

เคล็ดลับการทำข้อสอบ

เคล็ดลับการทำข้อสอบ
นักเรียนส่วนมากรู้สึกว่าการสอบเป็นเรื่องยาก ทำให้เครียด กังวลและท้อใจถ้าผลการสอบออกมาไม่ดี หลายคนชอบเรียนแต่ไม่ชอบสอบ แต่ถ้าเราลองคิดในแง่ดีแล้ว การสอบมีประโยชน์มาก เพราะทำให้เรารู้ว่าผลการเรียนของตนเองอยู่ในระดับใด จะได้ปรับปรุงให้ดีขึ้น จงจำไว้ว่าคุณก็สามารถที่จะเอาชนะการสอบได้ ขอเพียงแต่คุณตั้งใจ แบ่งเวลาและเตรียมตัวสอบให้ดี วันนี้จะแนะนำเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการสอบให้ทราบกัน
1.เตรียมอุปกรณ์การสอบไปให้พร้อม เช่น ปากกา ยางลบ ไม้บรรทัดรวมทั้งบัตรประจำตัวด้วย

2.ถ้าเลือกได้ให้เลือกที่นั่งที่ไร้สิ่งรบกวนและคุณรู้สึกสบาย มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่มีเสียงที่ดังเกินไปรบกวน
3.อ่านคำสั่งของข้อสอบให้เข้าใจ ถ้ามีปัญหาอะไรให้ถามผู้คุมสอบทันทีจะได้ไม่มีปัญหาว่าทำข้อ สอบผิด

4.ขีดเส้นใต้คำสำคัญ เช่น ไม่ เหตุใด และพิจารณาให้ดีว่าในคำถามหนึ่งข้อมีคำถามย่อยหรือไม่

5.เรียบเรียงความคิดว่าจะตอบคำถามแต่ละข้ออย่างไร

6.จัดแบ่งเวลาสำหรับการทำข้อสอบแต่ละข้อ โดยเฉพาะถ้าเป็นข้อสอบแบบอัตนัย

7.ควรทำข้อสอบส่วนที่มีสัดส่วนคะแนนมากที่สุดก่อน หรือถ้าทำไม่ได้ ให้ทำส่วนที่คิดว่าทำได้แน่นอน อย่างน้อยจะได้มีคะแนนบ้าง

8.ถ้าเป็นข้อสอบเขียนบรรยายก็ควรเขียนด้วย ลายมือที่อ่านง่าย ใช้ปากกาสีน้ำเงินหรือสีดำ จะได้สบายตาผู้ตรวจ และกระดาษคำตอบควรจะสะอาดเรียบร้อย

9.ตรวจความถูกต้องอีกครั้งก่อนส่งข้อสอบ ดูว่าทำถูกต้องตามคำสั่งหรือไม่ ตอบคำถามครบหรือเปล่า

10.หากพบสิ่งผิดปกติในห้องสอบ หรือมีสิ่งรบกวนการสอบ เช่น นอกห้องดังเกินไป ให้บอกผู้คุมสอบทันที

แต่พึงคิดไว้เสมอว่าไม่ว่าเราจะมีเคล็ดลับในการทำข้อสอบดีเลิศซักขนาดไหน สุดท้ายคะแนนสอบจะดีหรือไม่ดีอย่างไรมันก็อยู่ที่ตัวเราว่าเราได้ทุ่มเทให้มันเพียงพอหรือยัง อย่าลืมตั้งใจอ่านหนังสือกันนะค่ะ

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

แนะนำเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อคนไทยได้เก่งอังกฤษเยอะๆๆ

แนะนำเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อคนไทยได้เก่งอังกฤษเยอะๆๆ
การทำข้อสอบ
ขอกล่าวสวัสดีปีใหม่ในประเพณีวัฒนธรรมของจีนทุกท่านครับ เห็นได้ว่าเวลาที่ผ่านมาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก ดังที่ภาษาอังกฤษได้กล่าวไว้ว่า “Time Flashes by” ซึ่งเราได้ผ่านวันขึ้นปีใหม่มาเมื่อไม่กี่วันนี้เอง อีกทั้งเห็นได้ในปีนี้ คือปี พ.ศ.2552 หรือ ค.ศ.2009 ขณะเดียวกันในปีนี้ได้มีคำกล่าวของผู้รู้หลายท่านว่าปีนี้จะเป็นปีที่หนักที่สุด โดยจะมีปัญหาเข้ามารุมเร้าในทั้งระดับย่อย จนถึงระดับประเทศ ลุกลามไปถึงระดับโลก โดยเฉพาะปัญหาด้านเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามเราทุกคนก็ไม่ควรที่จะกังวลอยู่กับปัญหาที่จะเกิด หากแต่ควรจะพัฒนาแนวความคิดที่จะต่อสู้กับปัญหาที่จะเกิดขึ้น อย่าท้อแท้ หาหนทางเพิ่มกำลังใจและความฮึดให้กับตัวเองให้ได้ ช่วงเวลานี้
สำหรับนักเรียน นิสิตนักศึกษา เป็นช่วงที่กำลังเข้าใกล้ระยะเวลาแห่งการสอบ หากท่านใดเริ่มหรือเตรียมตัว ในการสอบก่อนเนิ่นๆ ย่อมจะมีความพร้อม ความมั่นใจ ในการเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งการแข่งขัน ซึ่งต่างกับผู้ที่ไม่ได้เตรียมตัวมา สำหรับการสอบแล้ว ต้องเกี่ยวข้องกับเวลาที่จำกัด ดังนั้นย่อมต้องอาศัยเทคนิคการทำข้อสอบ ดังนั้นผมขอแนะนำเทคนิคเกี่ยวกับการทำข้อสอบภาษาอังกฤษ โดยเริ่มต้นจากเทคนิคการทำข้อสอบการอ่านภาษาอังกฤษ (Reading) นะครับ
ข้อสอบการอ่านภาษาอังกฤษนั้นประกอบด้วยเนื้อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวต่างๆ ที่ผู้สอบต้องทำความเข้าใจ แล้วตอบคำถาม ซึ่งผู้สอบย่อมต้องมีทักษะหลายๆ ประการ ดังนั้น
1. รู้ศัพท์ (Vocabulary) ให้มากที่สุด การสอบ Reading แต่ละครั้ง เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเรื่องที่จะออกมาในเรื่องใด หากเป็นเรื่องที่เรามีความคุ้นเคย ก็ถือว่าเป็นโชคดีเพราะเราอาจจะเข้าใจเนื้อเรื่องมาก่อนแล้ว การเดาศัพท์ก็ทำได้ไม่ยาก ในทางกลับกันหากเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ย่อมจะเพิ่มความลำบากให้เรามากขึ้น ดังนั้นการรู้ศัพท์เป็นจำนวนมาก หรือเข้าใจหลักการในการเดาศัพท์จากคำใกล้เคียงส่งผลให้เรามีโอกาสในการเข้าใจเรื่องนั้นๆ
2. เข้าใจในโครงสร้างหลักภาษาอังกฤษ (English Structure หรือ Grammar)ตามหลักการเขียนภาษาอังกฤษนั้น จะเริ่มจากการนำคำศัพท์มาเรียงกันให้เกิดประโยค เมื่อประโยค หลายๆ ประโยคมารวมกันก็จะกลายเป็นย่อหน้า และเมื่อแต่ละย่อหน้ามาประกอบกันจะได้เนื้อเรื่อง ดังนั้นการรวมกันของศัพท์เพื่อให้ได้ประโยคย่อมต้องอาศัยหลักการโครงสร้างภาษาอังกฤษที่จะต้องประกอบด้วยส่วนสำคัญหลัก
3 ส่วนคือ ส่วนประธาน (Subject) ที่ทำหน้าที่เป็นตัวหลักของประโยค ส่วนที่สองคือส่วนการกระทำ หรือกริยา (Verb)ซึ่งจะกำหนดการกระทำที่เกิดขึ้นของประธาน และส่วนสุดท้ายซึ่งจะมีหรือไม่มีก็ได้ คือส่วนกรรม (Object) คือส่วนรองรับการกระทำจากกริยา ด้วยเหตุนี้ผู้อ่านต้องแยกแยะแต่ละส่วนหลักของประโยคให้ได้เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึง ใครทำอะไร ส่วนคำประกอบที่เหลือก็จะเป็นส่วนขยายให้ประโยคมีความชัดเจนมากขึ้น
ดังนั้นการรู้ประเภทของคำในศัพท์ เช่น คำนาม (Noun) คำกริยา (Verb) คำสรรพนาม (Pronoun) หรือ คำอื่นๆ จะทำให้เราได้ทราบถึงตำแหน่งและหน้าที่การวางคำในประโยคตามหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง


อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง ประกอบด้วย เกาะใหญ่น้อยอยู่ทางฝั่งทะเลอ่าวไทยกว่า 40 เกาะ วางเรียงตัวเรียงรายเป็นรูปยาวรีคู่ขนานไปกับชายฝั่งทะเลจังหวัดตราด เช่น เกาะช้างน้อย เกาะคลุ้ม เกาะหวาย เกาะเหลายา เกาะไม้ซี้ เกาะรัง และมีเกาะช้างเป็นเกาะที่ขนาดใหญ่ที่สุด (ขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศไทยรองจากเกาะภูเก็ตและเกาะสมุย) อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแหลมงอบ จังหวัดตราด ห่างประมาณ 8 กิโลเมตร ยาวจากเหนือลงมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 30 กิโลเมตร กว้างประมาณ 14 กิโลเมตร ได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 99 ตอนที่ 197 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2525 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 45 ของประเทศไทย ครอบคลุมพื้นที่ในท้องที่ตำบลเกาะช้าง กิ่งอำเภอเกาะช้าง และตำบลเกาะหมาก กิ่งอำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด พื้นที่ประมาณ 650 ตารางกิโลเมตร หรือ 406,250 ไร่
ทิศเหนือ จดทะเล ท้องที่ ต.บางปิด ต.คลองใหญ่ อ.แหลมงอบ จ.ตราด
ทิศใต้ จดทะเล ท้องที่ ต.เกาะหมาก กิ่งอำเภอเกาะกูด จ.ตราด
ทิศตะวันออก จดทะเล ท้องที่ ต.แหลมงอบ อ.แหลมงอบ จ.ตราด
ทิศตะวันตก จดทะเล ท้องที่ ต.เกาะช้าง กิ่งอำเภอเกาะช้าง จ.ตราด
ลักษณะภูมิประเทศ
ในจำนวนกว่า 40 เกาะ ของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง มีเกาะช้างเป็นเกาะที่ใหญ่ ที่สุดห่างจากแหลมงอบประมาณ 8 กิโลเมตร พื้นที่ทอดยาวจากเหนือลงมาทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 30 กิโลเมตร กว้างประมาณ 14 กิโลเมตร เกาะช้างเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสามประเทศไทยรองจากเกาะภูเก็ตและเกาะสมุย แต่พื้นที่อุทยานแห่งชาติไม่ได้ครอบคลุมเกาะช้างทั้งหมด มีบางส่วนที่เป็นส่วนของกิ่งอำเภอเกาะช้าง มีราษฎรอาศัยอยู่ ส่วนในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง ส่วนที่เป็นพื้นดินส่วนใหญ่ของเกาะช้างมีลักษณะภูมิประเทศเป็น ภูเขาเกือบตลอดทั้งเกาะ เช่น เขาล้าน เขาจอมปราสาท เขาคลองมะยม เขาสลักเพชร ยอดเขาใหญ่เป็นยอดเขาที่สูง ที่สุดมีความสูง 743 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
โครงสร้างทางธรณีส่วนใหญ่ในพื้นที่เป็นหินอัคนีในยุคไทรแอสซิกมีช่วงอายุ 195-230 ล้านปีมาแล้ว มีที่ราบตามชายฝั่งทะเลในบริเวณหมู่บ้านสลักเพชร หมู่บ้านสลักคอก หมู่บ้านคลองสน และอ่าวคลอง พร้าว แม่น้ำลำธารในเกาะช้างเป็นคลองสายสั้นๆ ที่น้ำทะเลเข้าถึง ต้นคลองเป็นห้วยน้ำจืดไหลมาจากน้ำตก ซึ่งเป็นสภาพหุบเขาหลังอ่าวต่างๆ ไหลแทรกไปตามบริเวณป่าชายเลนแล้วไหลลงสู่ทะเลรอบๆ คลองที่สำคัญได้แก่ คลองสน คลองมะยม คลองค้างคาว คลองบางเบ้า คลองพร้าว คลองนนทรี เป็นต้น ลำน้ำเหล่านี้ยังก่อให้เกิดน้ำตกที่สวยงามหลายแห่ง เช่น น้ำตกธารมะยม น้ำตกคลองพลู น้ำตกคลองนนทรี น้ำตกคีรีเพชร และน้ำตกคลองหนึ่ง นอกจากนี้ชายฝั่งตะวันออกของเกาะ จะมีหาดโคลนและหินเป็นหาดหน้าแคบ ส่วนหาดทางด้านตะวันตก จะเป็นหาดทรายและหิน
ลักษณะภูมิอากาศ
ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่ เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นช่วงเวลาที่ได้รับอิทธิพลจาก มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน ถึง กุมภาพันธ์ ในระยะนี้มีมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมพื้นที่ ทำให้อุณหภูมิลดลงอากาศหนาวเย็น ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือน มีนาคมถึงเดือนเมษายน ในระยะนี้ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนผ่านเส้นศูนย์สูตรไปทางซีกโลกเหนือ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังอ่อนค่อนข้างจะแปรปรวน มีฝนตกน้อยทำให้อากาศร้อนอบอ้าว โดยเฉพาะในเดือนเมษายน
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง มีความหลากหลายของพืชพรรณมาก ส่วนใหญ่เป็น ป่าดงดิบชื้น เป็นป่าที่ค่อนข้างห่างจากชายฝั่ง พืชพรรณธรรมชาติส่วนใหญ่เป็นไม้สกุลพลอง สารภีป่า และไม้ในสกุลหว้า ขึ้นปนอยู่ประปราย พันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ ยางนา กระบาก ตะเคียนทอง ทะโล้ พญาไม้ เปล้า หลาวชะโอน เต่าร้าง หวาย เตยย่าน กล้วยไม้ ไผ่ เร่ว กระวาน ฯลฯ มีที่ราบตามชายฝั่งทะเลในบริเวณหมู่บ้านสลักเพชร หมู่บ้านสลักคอก หมู่บ้านคลองสน และอ่าวคลองพร้าว พืชพรรณธรรมชาติที่พบเป็น ป่าชายหาด ลักษณะเป็นป่าโปร่งมีพรรณไม้ขึ้นอยู่ไม่กี่ชนิด เช่น หูกวาง สารภีทะเล เมา เสม็ด เตยทะเล เป็นต้น ตามชายฝั่งที่เป็นดินเลนบริเวณอ่าวและปากคลองลำธารต่างๆ จะพบ ป่าชายเลน พันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ โกงกางใบใหญ่ โกงกางใบเล็ก โปรงขาว แสม พังกาหัวสุม ถั่วดำ แสม ตะบูน ปอทะเล และตีนเป็ดทะเล และ ป่าพรุ เป็นสังคมพืชที่เกิดขึ้นบริเวณที่มีน้ำขังตลอดปี บริเวณอ่าวสลักคอกและอ่าวสลักเพชร พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ เหงือกปลาหมอ และกก เป็นต้น
หมู่เกาะช้าง ไม่มีการทับถมของตะกอนโคลนเลนจากแม่น้ำ จึงทำให้หมู่เกาะเหล่านี้มีหาดทรายที่ ขาวสะอาด น้ำทะเลใสสวย และอุดมสมบูรณ์ด้วยสรรพชีวิตใต้ท้องทะเล โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตในแนวปะการัง เช่น ปะการังก้อน ปะการังเขากวาง ปะการังพุ่ม ปะการังแผ่น หอยมือเสือ ดอกไม้ทะเล ปลาสวยงามในแนวปะการัง กัลปังหา สาหร่าย พบได้ในบริเวณเกาะช้างน้อย ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะช้าง เกาะหยวก เกาะมันนอก เกาะคลุ้ม เกาะหวาย เกาะเหลายา เกาะง่าม เกาะรัง เกาะกระ และบริเวณเรือรบหลวงชลบุรี และเรือรบหลวงสงขลาที่จมอยู่ใกล้บริเวณอ่าวสลักเพชร
จากการสำรวจประชากรสัตว์ป่า เมื่อปี 2535 พบว่า อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้างมี สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 29 ชนิด ได้แก่ หมูป่า เก้ง ลิงเสน ค่างหงอก ชะมะเช็ด พังพอนธรรมดา ค้างคาว กระรอก และหนู เป็นต้น มี นก ทั้งหมด 74 ชนิด เป็นนกที่มีถิ่นถาวรในประเทศไทยและไม่อพยพย้ายถิ่น 61 ชนิด ได้แก่ นกยางทะเล นกปรอดหน้านวล นกตบยุง นกนางแอ่นแปซิฟิก นกกวัก และนกแก๊ก เป็นต้น เป็นนกอพยพเข้ามาในประเทศไทยในช่วงฤดูหนาว 8 ชนิดได้แก่ นกยางเขียว นกหัวโตทรายใหญ่ นกนางนวลแกลบดำปีกขาว นกน็อตตี้ นกขมิ้นท้ายทอยดำ นกกระจี๊ดขาสีเนื้อ นกกระจี๊ดขั้วโลกเหนือ และนกนางแอ่นบ้าน เป็นนกอพยพเพื่อผสมพันธุ์ 2 ชนิด คือ นกแต้วแล้วอกเขียว และนกแต้วแล้วธรรมดา ส่วนนกอพยพผ่านในฤดูกาลอื่นๆ 3 ชนิด คือ นกจับแมลงสีฟ้าท้องขาว นกจับแมลงคอสีน้ำเงินเข้ม และนกกระจี๊ดหัวมงกุฎ นอกจากนี้ยังมี สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกและสัตว์เลื้อยคลาน 42 ชนิด ได้แก่ ตะพาบน้ำ ตะกวด เหี้ย งูเหลือม งูสิง งูจงอาง และกบเกาะช้าง (เป็นสัตว์ประจำถิ่นใน ป่าดงดิบชื้นบริเวณเกาะช้างและเกาะใกล้เคียง)

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

เทคนิคการอ่านหนังสือสอบ

เทคนิคการอ่านหนังสือสอบ


1.ต้องเลิกเที่ยว เลิกดื่ม เลิกสร้างบรรยากาศที่ไม่ใช่การเตรียมสอบ เลิก chat ตอนดึกๆ เลิกเม้าท์โทรศัพท์นานๆ ตัดทุกอย่างออกไป ปลีกวิเวกได้เลย ต้องทำให้ได้ ถ้าไม่ได้อย่าคิดเลยว่าจะสอบติด ฝันไปเถอะ

2.ตัดสินใจให้เด็ดขาด ว่าต่อไปนี้จะทำเพื่ออนาคตตัวเอง บอกเพื่อน บอกพ่อแม่ บอกทุกคนว่า อย่ารบกวน ขอเวลาส่วนตัว จะเปลี่ยนชีวิต จะกำหนดชีวิตตัวเอง จะกำหนดอนาคตตัวเอง เพราะเราต้องการมีอนาคตที่กำหนดได้ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่

3.ถ้าทำ 2 ข้อไม่ได้ อย่าทำข้อนี้ เพราะข้อนี้คือ ให้เขียนอนาคตตัวเองไว้เลยว่า จะเรียนต่อคณะอะไร จบแล้วจะเป็นอะไร เช่น จะเรียนพยาบาล ก็เขียนป้ายตัวใหญ่ๆ ติดไว้ข้างห้อง มองเห็นตลอดเลยว่า “เราจะเป็นพยาบาล” จะเรียนแพทย์ก็ต้องเขียนไว้เลยว่า “ปีหน้าจะไปเหยียบแผ่นดินแพทย์ศิริราช-จุฬา” อะไรทำนองนี้ เพื่อสร้างเป้าหมายให้ชัดเจน

4.เตรียมตัว สรรหาหนังสือ หาอาจารย์ติว หาเพื่อนคนเก่งๆ บอกกับเค้าว่าช่วยเป็นกำลังใจให้เราหน่อย ช่วยเหลือเราหน่อย หาหนังสือมาให้ครบทุกเนื้อหาที่จะต้องสอบ เตรียมห้องอ่านหนังสือ โต๊ะ เก้าอี้ โคมไฟ ให้พร้อม

5.เริ่มลงมืออ่านหนังสือ เริ่มจากวิชาที่ชอบ เรื่องที่ถนัด ก่อน ทำข้อสอบไปด้วย ทำแบบฝึกหัดจากง่ายไปยาก ค่อยๆ ทำ ถ้าท้อก็ให้ลืมตาดูป้าย ดูรูปอนาคตของตัวเอง ต้องลงมืออ่านอย่างจริงจัง อย่างน้อยวันละ 10 ชั่วโมง แล้วจะทำได้ไง วิธีการคือ อ่านทุกเมื่อที่มีโอกาส อ่านทุกครั้งที่มีโอกาส หนังสือต้องติดตัวตลอดเวลา ว่างเมื่อไรหยิบมาอ่านได้ทันที อย่าปล่อยให้ว่างจนไม่รู้จะทำอะไร ที่สำคัญอ่านแล้วต้องมีโน้ตเสมอ ห้ามนอนอ่าน ห้ามกินขนม ห้ามฟังเพลง ห้ามดูทีวี ห้ามดูละคร ดูหนัง อ่านอย่างเดียว ทำอย่างจริงจัง

6.ข้อนี้สำคัญมาก หากท้อให้มองภาพอนาคตของตัวเองไว้เสมอ ย้ำกับตัวเองว่า “เราต้องกำหนดอนาคตของตัวเอง ไม่มีใครกำหนดให้เรา เราต้องทำได้ เพราะไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” ให้กำลังใจกับตัวเองอยู่เสมอ บอกกับตัวเองอย่างนี้ทุกวัน หากท้อ ขอให้นึกว่า อย่างน้อยก็มีผู้เขียนบทความนี้เป็นกำลังใจให้น้องๆ เสมอ นึกถึงภาพวันที่เรารับปริญญา วันที่เราและครอบครัวจะมีความสุข วันที่คุณพ่อคุณแม่จะดีใจที่สุดในชีวิต ต่อไปนี้ต้องทำเพื่อท่านบ้าง อย่าเห็นแก่ตัว อย่าขี้เกียจ อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง เลิกนิสัยเดิมๆ เสียที


เคล็ดลับสรุปๆการอ่านหนังสือสอบ


ใกล้สอบกันแล้วใช่ไหมเอ่ย หิหิ แต่บ้างคนยังไม่ได้เริ่มอ่านหนังสือเลย 10 เคล็ดลับง่ายๆ รวบรัด


1.ปิดทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต mp3 มีสติอยู่กับหนังสือ

2.นั่งสมาธิสัก 5 นาที

3.อ่านหนึ่งรอบ แล้วสรุปไม่เปิดหนังสือ

4.เช็คคำตอบ

5.อ่านอีกหนึ่งรอบ

6.สรุปใหม่เปิดหนังสือได้เอาไว้อ่าน

7.ถ้าทำเป็นMind Mappingจะอ่านง่ายขึ้น

8.มีเอกสารอะไรที่ครูแจก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ

9.ท่องในส่วนที่ครูพูดย้ำบ่อยๆอย่างน้อย 2ครั้ง/คาบ

10.ก่อนวันสอบห้ามหักโหมอ่านหนังสือถึงเทียงคืน สมองจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น


หลักการอ่านหนังสือเตรียมสอบ (ของสายศิลป์)


**หลายคนสงสัยทำไมต้องเฉพาะสายศิลป์ ก็เพราะสายศิลป์ท่องจำไวยกรณ์ ไม่ได้ท่องจำสูตร การอ่านของสายศิลป์คือการอ่านบ่อยๆให้ค่อยๆซึมเข้าไปในหัว ไม่ใช่ท่องจำถึงที่มาที่ไปของสูตร และอีกอย่างวิธีเหล่านี้ใช้ไม่ได้ในเด็กสายวิทย์** อย่างแรกที่ต้องแนะนำ

1.กิน...ถ้าในระหว่างนี้คุณยังกลัวความอ้วนอยู่ ขอแนะนำให้ปิดหน้าต่างนี้ไปเลย ไม่ใช่ขยับปากเคี้ยวแล้วจะคิดออกนะ -*- แต่สมอง(ซึ่งถูกคุณใช้งานอย่างหนัก)ก็ต้องการสารอาหาร ควรจะเป็นของหวาน (แนะนำชอคโกแลต) คุณลองกินสิ จะรู้สึกมีพลังขึ้นมาอีก 25% และก็กินเข้าไปเลย กินๆๆ ไม่เปนไร เอนท์ติดแล้วเราลดได้ นอกจากนี้ สมองยังต้องการการผ่อนคลาย ซึ่งจะกลายเป็นหัวข้อที่ 2

2.สุขภาพจิตดี... ถ้าคุณเครียดทั้งวันทั้งคืน หนำซ้ำพ่อแม่ยังนั่งเฝ้า ...ตี 2 คุณเริ่มฟุบ พ่อคุณถามว่า "จะนอนแล้วหรอ?" ...หัวคุณก็จะหมกมุ่นอยู่กับความอึดอัด ความแค้น(ทำไมกูต้องเอนท์ด้วยวะ) ในขณะที่สายตาของคุณกวาดไปมา และสมองคุณเกร็งอย่างแรง กลับจำอะไรไม่ได้เลย คุณคิดว่าคุณเครียดแล้วจะอ่านหนังสือได้เยอะงั้นหรือ...เปล่าเลย คุณโกหกตัวเอง เหมือนเอาเชือกมารัดหัวแล้วบอกตัวเองว่า ฉันอ่านหนังสือหนักจนปวดหัวเลยนะเนี่ย...ข้อนี้แนะนำให้กินน้ำ ล้างหน้าบ่อยๆ ออกไปเดินเล่นซัก 10 นาทีคงไม่ทำให้คุณสอบตก แลกกับการชาร์จพลังสมอง...คุ้มนะ

3.สมาธิ..อย่าดูถูกวิธีโบราณ มันช่วยได้จริง...ก้อการนั่งสมาธิไงล่ะ ลองเปิดเพลงไปด้วย ถ้าคุณมีสมาธิจริงคุณจะไม่ได้ยินเสียงเพลงเลย (ไม่ใช่นั่งไปคิดไป เมื่อไหร่เพลงจะหาย..ยังงี้ไม่ได้นะคะ เพราะเท่ากับคุณนั่งฟังเพลง) คิดว่าเรามีลูกแล้วอยู่ในร่างกาย แล้วมันวิ่งขึ้นวิ่งลงช้าๆ ไปเรื่อยๆ เคยอ่านข้อสอบรอบนึงแล้วไม่รู้ว่าข้อสอบถามอะไรมั้ย นั้นล่ะ คุณกำลังขาดสมาธิ หายใจเข้า-ออกยาวๆ และพยายามทบทวนอยู่เสมอว่าเมื่อกี้เราคิดอะไรอยู่ ให้จดจ่อกับเรื่องที่อ่านไปเรื่อยๆ อย่าให้เส้นสมองขาดตอนนะ

4.กำลังใจ...ถ้าใน 3 ข้อแรก คุณทำอะไรไม่สำเร็จเลย แปลว่าคุณขาดกำลังใจ ขาดแรงฮึดสู้ หรือง่ายๆว่า คุณไม่อยากเอนท์ มีหลายสาเหตุ - เข้าที่ไหนก็ได้...อย่าโกหกตัวเอง เพียงเพราะว่าคุณเป็นคนขี้เกียจ ใครๆก็อยากเอนติดกันทั้งนั้น คุณบอกว่าคุณไม่หวัง คุณบอกว่าคุณขี้เกียจอ่านและไม่เอาอะไรแล้วในชีวิตดีกว่า จริงอยู่ เอน..ไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่เมื่อคุณีโอกาส ทำไมไม่ตั้งใจทำให้มันดี - ประชดคนบางคน... โถๆๆ อย่าเอาคนอื่นมาตัดสินชะตาชีวิตตัวเองแบบนี้เป็นอันขาด ไม่ว่าแม่คุณจะประกาศแก่แม่ค้าทั้งตลาดว่าคุณไม่มีทางเอนติด หรือ พร่ำหวังให้คุณติด มหิดล-จุฬา ทั้งสองอย่างทำให้คุณหดหู่จนไม่อยากทำให้เขาสมน้ำหน้า คุณอย่าไปสนใจดีกว่า...บอกแล้วไง คุณทำเพื่ออนาคตคุณเอง เปลี่ยนแรงกดดันนั้นให้เป็นแรงฮึดสู้...(กูจะติดแพทย์ศิริราชให้ดู..ว่างั้น) ยังไงก็แล้วแต่ คุณต้องอ่านเยอะๆ อ่านหลายๆรอบ อ่านจนสามารถพูดสรุปออกได้เป็นฉากๆ ไม่ใช่ท่องจำ แต่มันคือการฝังลงไปในหัวที่พร้อมจะเรียกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ อย่าไปมัวท่อง(ขอเน้น..อย่า!!!) อ่านบ่อยๆเท่านั้นที่ช่วยได้ อ่านครั้งแรกคุณจะรู้สึกสมองโล่งและคิดในใจว่า คุณจะจำได้ซักกี่คำกัน แต่ครั้งที่ 2 เฮ้ย!! คำนี้มันคุ้นๆ (หลังจากนั้นไปตามหาว่ามันแปลว่าไร ขอย้ำ!! ไม่ต้องท่อง) ครั้งที่ 3 คุณจะจำได้เองอย่างไม่น่าเชื่อ...สาธุ สำหรับคนที่เรียนพิเศษแล้วไม่เข้าใจ...ฉันเองก็เคยสอนพิเศษ สามารถบอกได้เลย คนที่ไม่ฟัง เอาแต่จด เอาแต่อ่านในหนังสือน่ะ พลาดโอกาสอันดีไปนะ เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่อยู่ที่ปากคนสอน คุณจะเข้าใจมั้ยก้ออยู่ที่คนสอน เช่นเวลาไปเรียนแบรนด์ บางคนนั่งอ่านในหนังสือแล้วคิดว่า เค้าพูดถึงไหนแล้ว...กว่าจะคิดได้ว่าที่เขาพูดไม่มีในหนังสือ คุณก็จดไม่ทันแล้วล่ะ หนังสือนั่นน่ะมันไม่ไปไนหรอก คุณจะอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ คุณจะเอาเวลาว่างมาท่องทั้งเล่มก็ไม่มีใครว่า **ถ้าเป็นไปได้เวลาเรียนพิเศษ ฟังที่อาจารย์พูด ฟังทุกคำ ไม่ใช่เหม่อลอยคำที่ 2 กลับมาฟังอีกทีคำที่ 8 ...ชาติหน้าตอนบ่ายๆคงเข้าใจ แต่ก็ไม่ใช่ฟังแล้วเขี้ยนตามคำบอก...จงฟังแล้วคิด แล้วเขียนอย่างที่ตัวเองเข้าใจ เมื่อจบคอร์สเอามาเรียบเรียงให้เป้นภาษาคน แล้วอ่านซ้ำ(หลายๆรอบ เอาให้จำได้) เราจะรู้ได้เลยว่า อ๋อ บรรทัดนี้ อาจารย์เค้าสอนไว้ว่าไงบ้าง

** ...ขอแนะนำขั้นสุดท้ายว่า ม.5 เทอม 2 ควรจะเรียนพิเศษให้เสร็จ (ในกรณีที่เอนครั้งเดียวเดือนกุมภา) พอขึ้นม.6ก็ควรจะเริ่มจำที่เรียนๆมาได้แล้ว อย่าหวังว่าจะไปอ่านที่โรงเรียน มันไม่สามารถอ่านจนจับประเด็นได้เลย เว้นแต่จะเอาเลขไปทำเล่นๆ แต่ถ้าอีก 3 เดือนแล้วไม่มีไรในหัวเลย ขอแนะนำให้ทำข้อสอบย้อนหลักซัก 15 ปี ส่วนคนที่อ่านพร้อมแล้วทำ 7 ปีก้อพอ...


วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หลักการอ่านหนังสือเตรียมสอบ (ของสายศิลป์)

หลักการอ่านหนังสือเตรียมสอบ (ของสายศิลป์)


**หลายคนสงสัยทำไมต้องเฉพาะสายศิลป์ ก็เพราะสายศิลป์ท่องจำไวยกรณ์ ไม่ได้ท่องจำสูตร การอ่านของสายศิลป์คือการอ่านบ่อยๆให้ค่อยๆซึมเข้าไปในหัว ไม่ใช่ท่องจำถึงที่มาที่ไปของสูตร และอีกอย่างวิธีเหล่านี้ใช้ไม่ได้ในเด็กสายวิทย์**

อย่างแรกที่ต้องแนะนำ

1.กิน... ถ้าในระหว่างนี้คุณยังกลัวความอ้วนอยู่ ขอแนะนำให้ปิดหน้าต่างนี้ไปเลย ไม่ใช่ขยับปากเคี้ยวแล้วจะคิดออกนะ -*- แต่สมอง(ซึ่งถูกคุณใช้งานอย่างหนัก)ก็ต้องการสารอาหาร ควรจะเป็นของหวาน (แนะนำชอคโกแลต) คุณลองกินสิ จะรู้สึกมีพลังขึ้นมาอีก 25% และก็กินเข้าไปเลย กินๆๆ ไม่เปนไร เอนท์ติดแล้วเราลดได้ นอกจากนี้ สมองยังต้องการการผ่อนคลาย ซึ่งจะกลายเป็นหัวข้อที่ 2

2.สุขภาพจิตดี... ถ้าคุณเครียดทั้งวันทั้งคืน หนำซ้ำพ่อแม่ยังนั่งเฝ้า ...ตี 2 คุณเริ่มฟุบ พ่อคุณถามว่า "จะนอนแล้วหรอ?" ...หัวคุณก็จะหมกมุ่นอยู่กับความอึดอัด ความแค้น(ทำไมกูต้องเอนท์ด้วยวะ) ในขณะที่สายตาของคุณกวาดไปมา และสมองคุณเกร็งอย่างแรง กลับจำอะไรไม่ได้เลย คุณคิดว่าคุณเครียดแล้วจะอ่านหนังสือได้เยอะงั้นหรือ...เปล่าเลย คุณโกหกตัวเอง เหมือนเอาเชือกมารัดหัวแล้วบอกตัวเองว่า ฉันอ่านหนังสือหนักจนปวดหัวเลยนะเนี่ย...ข้อนี้แนะนำให้กินน้ำ ล้างหน้าบ่อยๆ ออกไปเดินเล่นซัก 10 นาทีคงไม่ทำให้คุณสอบตก แลกกับการชาร์จพลังสมอง...คุ้มนะ
3.สมาธิ.. อย่าดูถูกวิธีโบราณ มันช่วยได้จริง...ก้อการนั่งสมาธิไงล่ะ ลองเปิดเพลงไปด้วย ถ้าคุณมีสมาธิจริงคุณจะไม่ได้ยินเสียงเพลงเลย (ไม่ใช่นั่งไปคิดไป เมื่อไหร่เพลงจะหาย..ยังงี้ไม่ได้นะคะ เพราะเท่ากับคุณนั่งฟังเพลง) คิดว่าเรามีลูกแล้วอยู่ในร่างกาย แล้วมันวิ่งขึ้นวิ่งลงช้าๆ ไปเรื่อยๆ
เคยอ่านข้อสอบรอบนึง แล้วไม่รู้ว่าข้อสอบถามอะไรมั้ย นั้นล่ะ คุณกำลังขาดสมาธิ หายใจเข้า-ออกยาวๆ และพยายามทบทวนอยู่เสมอว่าเมื่อกี้เราคิดอะไรอยู่ ให้จดจ่อกับเรื่องที่อ่านไปเรื่อยๆ อย่าให้เส้นสมองขาดตอนนะ
4.กำลังใจ... ถ้าใน 3 ข้อแรก คุณทำอะไรไม่สำเร็จเลย แปลว่าคุณขาดกำลังใจ ขาดแรงฮึดสู้ หรือง่ายๆว่า คุณไม่อยากเอนท์ มีหลายสาเหตุ
- เข้าที่ไหนก็ได้...อย่าโกหกตัวเอง เพียงเพราะว่าคุณเป็นคนขี้เกียจ ใครๆก็อยากเอนติดกันทั้งนั้น คุณบอกว่าคุณไม่หวัง คุณบอกว่าคุณขี้เกียจอ่านและไม่เอาอะไรแล้วในชีวิตดีกว่า จริงอยู่ เอน..ไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่เมื่อคุณีโอกาส ทำไมไม่ตั้งใจทำให้มันดี - ประชดคนบางคน... โถๆๆ อย่าเอาคนอื่นมาตัดสินชะตาชีวิตตัวเองแบบนี้เป็นอันขาด ไม่ว่าแม่คุณจะประกาศแก่แม่ค้าทั้งตลาดว่าคุณไม่มีทางเอนติด หรือ พร่ำหวังให้คุณติด มหิดล-จุฬา ทั้งสองอย่างทำให้คุณหดหู่จนไม่อยากทำให้เขาสมน้ำหน้าคุณอย่าไปสนใจดีกว่า...บอกแล้วไง คุณทำเพื่ออนาคตคุณเอง เปลี่ยนแรงกดดันนั้นให้เป็นแรงฮึดสู้...(กูจะติดแพทย์ศิริราชให้ดู..ว่างั้น)
ยังไงก็แล้วแต่ คุณต้องอ่านเยอะๆ อ่านหลายๆ รอบ อ่านจนสามารถพูดสรุปออกได้เป็นฉากๆ ไม่ใช่ท่องจำ แต่มันคือการฝังลงไปในหัวที่พร้อมจะเรียกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ อย่าไปมัวท่อง(ขอเน้น..อย่า!!!) อ่านบ่อยๆเท่านั้นที่ช่วยได้ อ่านครั้งแรกคุณจะรู้สึกสมองโล่งและคิดในใจว่า คุณจะจำได้ซักกี่คำกัน แต่ครั้งที่ 2 เฮ้ย!! คำนี้มันคุ้นๆ (หลังจากนั้นไปตามหาว่ามันแปลว่าไร ขอย้ำ!! ไม่ต้องท่อง) ครั้งที่ 3 คุณจะจำได้เองอย่างไม่น่าเชื่อ...สาธุ
สำหรับคนที่เรียนพิเศษแล้วไม่เข้าใจ...ฉันเองก็เคยสอนพิเศษ สามารถบอกได้เลย คนที่ไม่ฟัง เอาแต่จด เอาแต่อ่านในหนังสือน่ะ พลาดโอกาสอันดีไปนะ เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่อยู่ที่ปากคนสอน คุณจะเข้าใจมั้ยก้ออยู่ที่คนสอน เช่นเวลาไปเรียนแบรนด์ บางคนนั่งอ่านในหนังสือแล้วคิดว่า เค้าพูดถึงไหนแล้ว...กว่าจะคิดได้ว่าที่เขาพูดไม่มีในหนังสือ คุณก็จดไม่ทันแล้วล่ะ หนังสือนั่นน่ะมันไม่ไปไนหรอก คุณจะอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ คุณจะเอาเวลาว่างมาท่องทั้งเล่มก็ไม่มีใครว่า

**ถ้าเป็นไปได้เวลาเรียนพิเศษ ฟังที่อาจารย์พูด ฟังทุกคำ ไม่ใช่เหม่อลอยคำที่ 2 กลับมาฟังอีกทีคำที่ 8 ...ชาติหน้าตอนบ่ายๆ คงเข้าใจ แต่ก็ไม่ใช่ฟังแล้วเขี้ยนตามคำบอก...จงฟังแล้วคิด แล้วเขียนอย่างที่ตัวเองเข้าใจ เมื่อจบคอร์สเอามาเรียบเรียงให้เป้นภาษาคน แล้วอ่านซ้ำ (หลายๆรอบ เอาให้จำได้) เราจะรู้ได้เลยว่า อ๋อ บรรทัดนี้ อาจารย์เค้าสอนไว้ว่าไงบ้าง **
...ขอแนะนำขั้นสุดท้ายว่า ม.5 เทอม 2 ควรจะเรียนพิเศษให้เสร็จ (ในกรณีที่เอนครั้งเดียวเดือนกุมภา) พอขึ้นม.6ก็ควรจะเริ่มจำที่เรียนๆ มาได้แล้ว อย่าหวังว่าจะไปอ่านที่โรงเรียน มันไม่สามารถอ่านจนจับประเด็นได้เลย เว้นแต่จะเอาเลขไปทำเล่นๆ แต่ถ้าอีก 3 เดือนแล้วไม่มีไรในหัวเลย ขอแนะนำให้ทำข้อสอบย้อนหลักซัก 15 ปี ส่วนคนที่อ่านพร้อมแล้วทำ 7 ปีก้อพอ...

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันสารทจีน



วันสารทจีน




วันสารทจีน ตามปฏิทินทางจันทรคติ เทศกาลสารทจีนจะตรงกับวันที่ 15 เดือน 7[1] ตามปฏิทินจีน เทศกาลสารทจีนถือเป็นวันสำคัญที่ลูกหลานชาวจีนจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยพิธีเซ่นไหว้ และยังถือเป็นเดือนที่ประตูนรกเปิดให้วิญญาณทั้งหลายมารับกุศลผลบุญได้


ตำนาน

ตำนานที่ 1
ตำนานนี้กล่าวไว้ว่าวันสารทจีนเป็นวันที่เซ็งฮีไต๋ตี๋ (
ยมบาล) จะตรวจดูบัญชีวิญญาณคนตาย ส่งวิญญาณดีขึ้นสวรรค์และส่งวิญญาณร้ายลงนรก ชาวจีนทั้งหลายรู้สึกสงสารวิญญาณร้ายจึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ดังนั้นเพื่อให้วิญญาณร้ายออกมารับกุศลผลบุญนี้จึงต้องมีการเปิดประตูนรกนั่นเอง
ตำนานที่ 2
มีชายหนุ่มผู้หนึ่งมีนามว่า “มู่เหลียน” (
พระโมคัลลานะ) เป็นคนเคร่งครัดในพุทธศาสนามาก ผิดกับมารดาที่เป็นคนใจบาปหยาบช้าไม่เคยเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์มีจริง ปีหนึ่งในช่วงเทศกาลกินเจนางเกิดความหมั่นไส้คนที่นุ่งขาวห่มขาวถือศีลกินเจ นางจึงให้มู่เหลียนไปเชิญผู้ถือศีลกินเจเหล่านั้นมากินอาหารที่บ้านโดยนางจะทำอาหารเลี้ยงหนึ่งมื้อ
ผู้ถือศีลกินเจต่างพลอยยินดีที่ทราบข่าวว่ามารดาของมู่เหลียนเกิดศรัทธาในบุญกุศลครั้งนี้ จึงพากันมากินอาหารที่บ้านของมู่เหลียนแต่หาทราบไม่ว่าในน้ำแกงเจนั้นมีน้ำมันหมูเจือปนอยู่ด้วย การกระทำของมารดามู่เหลียนนั้นถือว่าเป็นกรรมหนัก เมื่อตายไปจึงตกนรกอเวจีมหานรกขุมที่ 8 เป็นนรกขุมลึกที่สุดได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส
เมื่อมู่เหลียนคิดถึงมารดาก็ได้ถอดกายทิพย์ลงไปในนรกภูมิ จึงได้รู้ว่ามารดาของตนกำลังอดอยากจึงป้อนอาหารแก่มารดา แต่ได้ถูกบรรดาภูตผีที่อดอยากรุมแย่งไปกินหมดและเม็ดข้าวสุกที่ป้อนนั้นกลับเป็นไฟเผาไหม้ริมฝีปากของมารดาจนพอง แต่ด้วยความกตัญญูและสงสารมารดาที่ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างสาหัสมู่เหลียนได้เข้าไปขอพญาเหงี่ยมล่ออ๊อง (
ยมบาล) ว่าตนของรับโทษแทนมารดา
แต่ก่อนที่มู่เหลียนจะถูกลงโทษด้วยการนำร่างลงไปต้มในกระทะทองแดง พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงมาโปรดไว้ได้ทัน โดยกล่าวว่ากรรมใดใครก่อก็ย่อมจะเป็นกรรมของผู้นั้นและพระพุทธเจ้าได้มอบคัมภีร์อิ๋ว หลันเผิน ให้มู่เหลียนท่องเพื่อเรียกเซียนทุกทิศทุกทางมาช่วยผู้มีพระคุณให้หลุดพ้นจากการอดอยากและทุกข์ทรมานต่างๆ ได้ โดยที่มู่เหลียนจะต้องสวดคัมภีร์อิ๋ว หลันเผินและถวายอาหารทุกปีในเดือนที่ประตูนรกเปิดจึงจะสามารถช่วยมารดาของเขาให้พ้นโทษได้
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวจีนจึงได้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อมากันโดยตลอดด้วยการเซ่นไหว้ โดยจะนำอาหารทั้งคาวหวาน และ
กระดาษเงินกระดาษทองไปวางไว้ที่หน้าบ้านหรือตามทางแยกที่ไม่ไกลนัก มีนัยว่าเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของบรรดาวิญญาณเร่ร่อนที่กำลังจะผ่านมาใกล้ที่พักของตน


จำนวนชุดที่ไหว้


การไหว้ในเทศกาลสารทจีนแบ่งออกเป็น 3 ชุด ดังนี้

1. ชุดสำหรับไหว้เจ้าที่
จะไหว้ในตอนเช้า มีอาหารคาวหวาน ขนมที่ไหว้ก็
ขนมถ้วยฟู กุยช่าย ส่วนขนมไหว้พิเศษที่ต้องมีซึ่งเป็นประเพณีของสารทจีนคือขนมเทียน ขนมเข่ง ซึ่งต้องแต้มจุดสีแดงไว้ตรงกลาง เนื่องจากชาวจีนมีความเชื่อที่ว่าสีแดงเป็นสีแห่งความเป็นศิริมงคล นอกจากนั้นก็มีผลไม้ น้ำชา หรือเหล้าจีน และกระดาษเงินกระดาษทอง

2. ชุดสำหรับไหว้บรรพบุรุษ
คล้ายของไหว้เจ้าที่พร้อมด้วยกับข้าวที่บรรพบุรุษชอบ ตามธรรมเนียมต้องมีน้ำแกงหรือขนมน้ำใสๆ วางข้างชามข้าวสวย และน้ำชาจัดชุดตามจำนวนของบรรพบุรุษ ขาดไม่ได้ก็คือขนมเทียน ขนมเข่ง ผลไม้และกระดาษเงินกระดาษทอง

3. ชุดสำหรับไหว้วิญญาณเร่ร่อนหรือวิญญาณไม่มีญาติ
วิญญาณเร่ร่อนหรือวิญญาณไม่มีญาติ เรียกว่า ไป๊ฮ๊อเฮียตี๋ แปลว่า ไหว้พี่น้องที่ดี เป็นการสะท้อนความสุภาพและให้เกียรติของคนจีน เรียกผีไม่มีญาติว่าพี่น้องที่ดีของเรา โดยการไหว้จะไหว้นอกบ้านของไหว้จะมีทั้งของคาวหวานและผลไม้ตามต้องการและที่พิเศษคือมีข้าวหอมแบบจีนโบราณ คอปึ่ง เผือกนึ่งผ่าซีกเป็นเสี้ยวใส่ถาด เส้นหมี่ห่อใหญ่ เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทองจัดทุกอย่างวางอยู่ด้วยกันสำหรับเซ่นไหว้

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Baguette



Baguette





A baguette (pronounced /bæ'gɛt/) is a specific shape of bread, commonly made from basic lean dough, a simple guideline set down by French law, distinguishable by its length, very crisp crust, and slits cut into it to enable proper expansion of gasses and thus formation of the crumb, the inner soft part of bread. The standard diameter of a baguette is approximately 5 or 6 cm, but the bread itself can be up to a meter in length, though usually about 60cm. A Parisian baguette typically weighs 250 grams (8.8 oz), but this is not legally regulated and varies by region[1]. It is also known in English as a French stick or a French bread.


History


The "baguette" is sometimes said to be a descendant of the pain viennois, bread first developed in Vienna, Austria in the mid-19th century when deck ovens, or steam ovens, were first brought into common use. Deck/steam ovens are a combination of a gas-fired traditional oven and a brick oven, a thick "deck" of stone or firebrick heated by natural gas instead of wood. The first such oven was brought (in the early nineteenth century) to Paris by the Austrian officer August Zang, whom some French sources thus credit with originating the (probably twentieth century) baguette.[2]
Deck ovens use steam injection, through various methods, to create the proper baguette. The oven is typically well over 205 °C (400 °F), the steam allows the crust to expand before setting, thus creating a lighter, more airy loaf.
The baguette today is often considered one of the symbols of French culture viewed from abroad, but the association of France with long loaves predates its creation. These had been made since the time of Louis XIV, and in fact could be far longer than the baguette: "loaves of bread six feet long that look like crowbars!" (1862)
[3]; "Housemaids were hurrying homewards with their purchases for various Gallic breakfasts, and the long sticks of bread, a yard or two in length, carried under their arms, made an odd impression upon me." (1898)[4]
But, states an article in the Economist, in October 1920 a law prevented bakers from working before 4am, making it impossible to make the traditional, round loaf in time for customers' breakfasts. The slender baguette solved the problem because it could be prepared and baked much more rapidly. [1] Unfortunately, the article is not sourced. The law in question appears in fact to be one from March 1919, though some say it took effect on October 1920: "It is forbidden to employ workers at bread and pastry making between ten in the evening and four in the morning."[5]. The rest of the account remains to be verified, but the baguette - that is, a much thinner, crustier version of the several traditional "pains longs" - does appear to be a twentieth century innovation.


Manufacture and styles


The "baguette de tradition française" is made from wheat flour, water, yeast, and common salt. It does not contain additives, but it may contain broad bean flour (max 2%), soya flour (max 0.5%), wheat malt flour (max 0.3%) [2].
While a regular baguette is made with a direct addition of
baker's yeast, it is not unusual for artisan-style loaves to be made with a poolish, "biga" or other bread pre-ferments to increase flavor complexity and other characteristics, as well as the addition of whole wheat flour or other grains such as rye. French bread is required by law to avoid preservatives, and as a result bread goes stale in under 24 hours, thus baking baguettes is a daily occurrence, unlike sourdough bread which is baked generally once or twice a week, due to the natural preservatives in a sourdough starter.
Baguettes are closely connected to
France and especially to Paris, though they are made around the world. In France, not all long loaves are baguettes; for example, a short, almost rugby ball shaped loaf is a bâtard, or bastard in English, originally a way to use up leftover dough, but now a common shape with similar weight to that of a baguette, another tubular shaped loaf is known as a flûte (also known in the United States as a parisienne) flûtes are generally half the length, twice the width, and approximately the same weight as baguettes, and a thinner loaf is called a ficelle. French breads are also made in forms such as a miche, which is a large pan loaf, and a boule, literally ball in French, a large round loaf. Sandwich-sized loaves are sometimes known as demi-baguettes, tiers, or sometimes "Rudi rolls".
Baguettes, either relatively short single-serving size or cut from a longer loaf, are very often used for
sandwiches (usually of the submarine sandwich type, but also panini); Baguettes are often sliced and served with pâté or cheeses. As part of the traditional continental breakfast in France, slices of baguette are spread with jam and dunked in bowls of coffee or hot chocolate. In the United States, French Bread loaves are sometimes split in half to make French bread pizza.
Baguettes are generally made as partially free-form loaves, with the loaf formed with a series of folding and rolling motions, raised in cloth-lined baskets or in rows on a flour-impregnated towel, called a
couche, and baked either directly on the hearth of a deck oven or in special perforated pans designed to hold the shape of the baguette while allowing heat through the perforations. These pans are never used in artisan-style baking, only in the Americanized version of the traditional baking process, which commonly uses frozen bread dough, sometimes called "thaw and bake", generally a cut-down among artisan-style bakers. Generally American style "French Bread" is much fatter, generally meaning over-proofed, and also scored incorrectly according to French baking tradition and not baked in deck ovens, but in convection ovens. The resulting loaf is much larger, softer, less chewy, and possessing a much more even crumb structure, in contrast to the traditional baguette which is slender, chewy, possesses an uneven and holey crumb structure, and crispy crust.
Outside France, baguettes are also made with other doughs; for example, the
Vietnamese bánh mì uses a high proportion of rice flour, while many North American bakeries make whole wheat, multigrain, and sourdough baguettes alongside traditional French-style loaves. In addition, even classical French-style recipes vary from place to place, with some recipes adding small amounts of milk, butter, sugar, or malt extract depending on the desired flavour and properties in the final loaf.