วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับน่ารู้ - กินเพื่อสุขภาพ

เคล็ดลับน่ารู้ - กินเพื่อสุขภาพ
1. กินน้ำมะนาวปั่นสามารถแก้อาการเมาค้างได้จริงหรือ?
เฉลย ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปรืมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเราทำให้อาการเมาหายไปได้
2. เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่งจริงหรือ?
เฉลย จริง เพราะในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้
3. มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้จริงหรือ?
เฉลย จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่าคูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่าโรคนอนหลับได้อีกด้วย
4. ดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้จริงหรือ?
เฉลย ไม่จริง แต่การดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น
5. การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้จริงหรือ?
เฉลย ไม่จริง แต่การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัดเป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้องและท้องอืดหลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพักหนึ่ง
6. การกินเนยก่อนนอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้นจริงหรือ?
เฉลย จริง เพราะในเนยมีกรดอมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและสะกดให้หลับได้สนิทดีขึ้น
7. การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้จริงหรือ?
เฉลย จริง เพราะการที่คนเรามีอาการ เหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอยู่มากอีกด้วย
8. การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้จริงหรือ?
เฉลย จริง เพราะเลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหารไปเลี้ยงสมองได้น้อยลงสมองจึงค่อยๆ เสื่อม

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

**_เสริมสวยจากธรรมชาติ_**

เสริมสวยจากธรรมชาติ
- ผลไม้สดตามฤดูกาล เช่น แตงโม มะม่วง มะละกอ ถ้านำเอาเนื้อมาใส่โถปั่น ปั่นให้ละเอียด ใช้ลูบไล้ตามผิวหน้าจะทำให้ผิวชุ่มชื่นและเต่งตึงขึ้น มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับโลชั่นสมานผิว
- สตรอเบอรี่สด 5 ผล ไข่ไก่ 2 ฟอง น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ กลีเซอรีน 1 ช้อนโต๊ะ ใส่โถปั่น ใช้นวดผมหลังจากสระแล้ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก จะช่วยให้ผมที่แห้งเพราะแดดลมกลับนุ่มเป็นเงางาม ช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำมันหล่อเลี้ยงเส้นผม และมีกลิ่นหอมด้วย
- ลิ้นจี่ 10 ผล ปอกเปลือก คว้านเมล็ดออก เอาเนื้อลิ้นจี่ใส่โถปั่น คั้นเอาน้ำ เติมเกลือ น้ำเชื่อม ใส่น้ำแข็งทุบก้อนเล็กๆ หรือจะใส่ถ้วยแก้วเก็บไว้ในตู้เย็น ส่วนกากเนื้อลิ้นจี่ที่ได้จากการปั่น กรองเอาน้ำออกแล้วปั้นนำมาพอกหน้า สัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะรู้สึกทันทีเลยว่า ผิวหน้าตึง และเปล่งปลั่งขึ้น
- เมล็ดแตงหอม, เมล็ดฟักทอง, บวบ, แตงกวา ตากแห้งใส่เครื่องปั่นเป็นผง ผสมน้ำพอเหลว พอกหน้าแทนยาพอกหน้า ผิวหน้าจะนุ่มเนียนและละไม
- น้ำคั้นจาก แตงหอมแคนตาลู้ป ล้างหน้า ผิวหน้าจะสะอาด แทนโลชั่นบำรุงผิว เหมาะสำหรับคนผิวแห้ง
- น้ำคั้นจาก แตงหอมแคนตาลู้ป ผสม น้ำผึ้ง ทาผิวหน้า จะช่วยลอกหนังกำพร้าที่แห้งเป็นขุย ถ้าผสมกับ น้ำอัลมอนด์ เล็กน้อย ใช้ลอกหน้าได้เช่นเดียวกับน้ำยาลอกหน้า
ผลไม้ นอกจากรับประทานอร่อย มีประโยชน์ต่อร่างกายเพราะมีสารอาหารและวิตามิน นอกจากนี้ยังนำมาช่วยเสริมสวยได้ด้วย สำหรับผู้นิยมการทดลองเสริมความงามด้วยตนเอง มีผลไม้มากเหลือเกิน จะใช้ทดลองดังนี้
- นำเอา เปลือกแตงโม มาใส่เครื่องปั่น กรองเอาแต่น้ำ ใช้ล้างหน้า แล้วปล่อยทิ้งไว้ 15 นาที จึงล้างออก ลดความมันบนผิวหน้า มีคุณค่าเทียบได้กับแอสตริงเจ้น
- ตัก เนื้อแตงโม เป็นชิ้นๆ วางบนใบหน้าขณะนอนพัก ทิ้งไว้ประมาณ 15 ถึง 20 นาที จะช่วยให้ผิวนุ่ม รู้สึกผิวหน้าสดชื่นขึ้น
- นำ เนื้อแตงโม แตงกวา เนื้อฟักทอง อย่างละประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ เข้าเครื่องปั่นรวมกัน ใช้พอกหน้า ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำให้ผิวสะอาด เหมาะสำหรับคนผิวหน้าแห้ง
- ใช้ เนื้อแตงโม 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำผึ้ง 1-2 หยด และน้ำมันพืช 3-4 หยด ผสมให้เข้ากัน ใช้ทาผิวและลำคอ นวดให้ทั่วจนรู้สึกว่าส่วนผสมนี้ซึมเข้าในผิวหนัง แล้วล้างอก ช่วยลอกผิวที่แห้งแตกเป็นขุยให้หลุดออก
- นำเอา สตรอเบอรี่ มาใส่ชาม ตีด้วยส้อมให้เละ นำมาพอหน้าให้ทั่ว แล้วนอนพักสัก 15 นาที สารที่มีประโยชน์จะซึมเข้าสู่ใต้ผิวหนัง ช่วยให้หน้าหายมัน เหมาะกับคนที่เป็นสิว ฝ้า หน้าตกกระ เพราะในเนื้อสตรอเบอรี่มีสารบางชนิดที่ช่วยทำให้ผิวหน้าตึงเต่งขาวสดใส ทำให้ผิวหน้ามีเลือดฝาดสมบูรณ์
- ทำครีมทาหน้าจาก สตรอเบอรี่ ใช้น้ำมันลาโนลิน (ซื้อที่ร้านขายยา) 1 ส่วน น้ำมันมะกอก หรือ น้ำมันพืช 3 ส่วน น้ำคั้นจากสตรอเบอรี่ 2 ส่วน ใส่ในหม้อ 2 ชั้น เฉพาะลาโนลินกับน้ำมัน พอละลายยกออกมาทิ้งไว้ให้เย็น แล้วจึงค่อยๆ ผสมสตรอเบอรี่ลงไปทีละน้อย ตีด้วยส้อมแรงๆ ให้เข้าเป็นเนื้อเดียว ถ้าทำใช้เพียง 5-6 วัน ก็เก็บไว้ในตู้เย็นใช้จนหมด ถ้าต้องการเก็บไว้ใช้นานๆ เหมือนครีมบำรุงผิวจากกระปุก ให้ผสมน้ำมันวีทเจิร์ม (ซื้อที่ร้านขายยา) 1 ส่วน ในส่วนผสมเดิม 10 ส่วน เติมวิตามินอี เทออกจาแคปซูล 4 เม็ด เก็บไว้ใช้ได้นาน
- ผิวแห้งหยาบ แตก เป็นริ้วรอย ริมขอบตามีรอยตีนกา มีสิวฝ้าบริเวณใบหน้า สามารถใช้ เนื้อมะม่วงสุก ยีจนเละ พอกหน้าเว้นบริเวณรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที น้ำมะม่วงที่เหลือที่เหลือให้นำมาทาข้อศอก ลำคอ หลังมือ แล้วจึงอาบน้ำชำระล้างให้สะอาด ผิวจะนุ่มนวลจนผิดสังเกต
- ส้มเขียวหวาน 1 ผล แตงกวา 1 ผล คั้นเอาแต่น้ำ น้ำกุหลาบ 3 ช้อนหวาน แอลกอฮอล์ 2 ช้อนหวาน เขย่าให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวกัน ทาให้ทั่วผิวหน้า แล้วใช้กระดาษทิชชูเช็ดออก เก็บไว้ในตู้เย็นใช้จนกว่าจะหมด จะช่วยการไหลเวียนของโลหิต ทำให้ผิวหนังเต่งตึงสะอาด
- นำเอา แตงกวา 3 ลูก หั่นแล้วใส่โถ ปั่นจนเละ คั้นเอาแต่น้ำทา บำรุงผิวอย่างดี
เสริมสวยจากธรรมชาติ มีวิธีการที่ใช้ของใช้ของกินมาบำรุงบำเรอโฉม ซึ่งเชื่อกันว่าจะสามารถให้ผลได้ และทำเองได้หลายชนิดด้วยกัน ตัวอย่างดังนี้
- ใช้ นมเปรี้ยว ทำให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้านุ่มเนียนละมุน
- โยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ นมเปรี้ยว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำนมสด 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ใส่แก้วคนให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้า ทิ้วไว้ให้แห้ง แล้วล้างออก ผิวจะเต่งตึง และช่วยแก้ปัญหาสิวบนใบหน้า
- ข้าวโอ๊ต 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ นมสด 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็นจะทำให้ผิวหน้าสดชื่น
- ขี้ผึ้ง 2 ส่วน กลีเซอรีน 2 ส่วน น้ำกุหลาบ 1 ส่วน ผสมกันแล้วใส่ภาชนะที่มีฝาปิด เก็บไว้ในตู้เย็น ใช้ทาผิวหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ช่วยลบรอยย่นบนใบหน้า ช่วยให้ผิวหน้าสวยตามธรรมชาติ และช่วยไม่ให้ผิวหน้าแห้ง
- ใช้แปรงขนตาจุ่มน้ำละหุ่ง ปัดขนตาเสมอ แล้วทาขนตาด้วยลาโนลิน หรือน้ำมันที่ทำจากไขสัตว์ จะช่วยให้ขนตายาว
- ทำครีมพอกหน้าด้วยสตรอเบอรี่ น้ำคั้นจากสตรอเบอรี่สด 2 ส่วน น้ำมันลาโนลิน 1 ส่วน น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันพืช 3 ส่วน ใส่ในหม้อ 2 ชั้น (หม้อตุ๋น) ตั้งไฟให้เดือด พอลาโนลินกับน้ำมันละลาย ยกออกทิ้งไว้ให้เย็น ค่อยๆ ผสมน้ำสตรอเบอรี่ลงไปทีละน้อยๆ ตีแรงๆ ให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว ถ้าต้องการเก็บไว้นาน ผสมน้ำยาวีทเจิร์ม 1 ส่วนในส่วนผสมที่ทำ 10 ส่วน เติมวิตามินอีที่เทออกจากแคปซูล 4 แคปซูล เพื่อช่วยบำรุงผิว ใช้พอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดจะช่วยให้ผิวหน้านุ่มนวล
- ใช้แตงกวาฝานบางๆ ปิดลงบนเปลือกตา ใต้ขอบตา หลับตาประมาณ 2-3 นาที จะช่วยให้บริเวณดวงตาสดชื่นขึ้น
- ผมจะสวยดกดำ ถ้าบำรุงด้วยไข่แดงผสมน้ำมันมะกอก ละเลงให้ทั่วศีรษะ แล้วสระผมให้สะอาด
- ใช้น้ำมันมะกรูดสระผม จะช่วยป้องกันผมร่วง ผ่ามะกรูดซึ่งอังไฟให้ร้อน แล้วใช้น้ำมะกรูดนวดศีรษะ ทิ้งไว้สักครู่ แล้วจึงล้างออก
- ใช้ผ้าขนหนูเนื้อนุ่ม จุ่มน้ำอุ่น บิดพอหมาด วางทาบลงบนใบหน้าเพื่อเปิดรูขุมขน นำน้ำมะนาว 1 ช้อนชา นมเปรี้ยว 1/2 ถ้วยตวง น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกัน ทาหน้า ตั้งแต่หน้าผากลงมาจึนถึงจมูกเป็นรูปตัวที และบริเวณที่มีความมันมากๆ ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที แล้วล้างด้วยน้ำอุ่น ต่อจากนั้นก็ใช้น้ำเย็นล้างออก เพื่อเป็นการปิดรูขุมขน
- ผู้ที่มีผิวหน้าแห้ง ให้ใช้กล้วยสุก 1 ผล ตีจนเละ ใช้พอกหน้า 10 นาที แล้วล้างให้สะอาด จะทำให้ผิวหน้านุ่มนวลขึ้น
- กล้วยสุกที่ยีจนเละ ผสมน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันถั่ว พอเหลว ใช้ทาผิว คุณภาพเป็นครีมบำรุงผิว แล้วอาบน้ำ ล้างให้สะอาด

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Christmas

Christmas





Christmas[2] or Christmas Day[3][4] is an annual holiday celebrated on December 25 that commemorates the birth of Jesus of Nazareth.[5][6] The date of commemoration is not known to be Jesus' actual birthday, and may have initially been chosen to correspond with either a historical Roman festival[7] or the winter solstice.[8] Christmas is central to the Christmas and holiday season, and in Christianity marks the beginning of the larger season of Christmastide, which lasts twelve days.[9]
Although traditionally a
Christian holiday, Christmas is widely celebrated by many non-Christians,[1][10] and some of its popular celebratory customs have pre-Christian or secular themes and origins. Popular modern customs of the holiday include gift-giving, Christmas carols, an exchange of greeting cards, church celebrations, a special meal, and the display of various decorations; including Christmas trees, lights, and garlands, mistletoe, nativity scenes, and holly. In addition, Father Christmas (known as Santa Claus in North America, Australia and Ireland) is a popular mythological figure in many countries, associated with the bringing of gifts for children.[11]
Because
gift-giving and many other aspects of the Christmas festival involve heightened economic activity among both Christians and non-Christians, the holiday has become a significant event and a key sales period for retailers and businesses. The economic impact of Christmas is a factor that has grown steadily over the past few centuries in many regions of the world.
Commemoration of Jesus' birth
Main articles: Annunciation, Nativity of Jesus, and Child Jesus
In Christianity, Christmas is the festival celebrating the Nativity of Jesus, the Christian belief that the Messiah foretold in the Old Testament's Messianic prophecies was born to the Virgin Mary. The story of Christmas is based on the biblical accounts given in the Gospel of Matthew, namely Matthew 1:18-Matthew 2:12 and the Gospel of Luke, specifically Luke 1:26-Luke 2:40. According to these accounts, Jesus was born to Mary, assisted by her husband Joseph, in the city of Bethlehem. According to popular tradition, the birth took place in a stable, surrounded by farm animals, though neither the stable nor the animals are specifically mentioned in the Biblical accounts. However, a manger is mentioned in Luke 2:7 where it states "She wrapped him in cloths and placed him in a manger, because there was no room for them in the inn." Early iconographic representations of the nativity placed the stable and manger within a cave (located, according to tradition, under the Church of the Nativity in Bethlehem). Shepherds from the fields surrounding Bethlehem were told of the birth by an angel, and were the first to see the child.[13] Many Christians believe that the birth of Jesus fulfilled prophecies from the Old Testament.[14]
Christians celebrate Christmas in many ways. In addition to this day being one of the most important and popular for the attendance of church services, there are numerous other devotions and popular traditions. Prior to Christmas Day, the Eastern Orthodox Church practices the Nativity Fast in anticipation of the birth of Jesus, while much of the Western Church celebrates Advent. People decorate their homes, and exchange gifts. In some Christian denominations, children perform plays re-telling the events of the Nativity, or sing carols that reference the event. Some Christians also display a small re-creation of the Nativity, known as a Nativity scene or crib, in their homes, using figurines to portray the key characters of the event. Live Nativity scenes and tableaux vivants are also performed, using actors and live animals to portray the event with more realism.[15]
There is a very long tradition of producing painted depictions of the nativity in art. Nativity scenes are traditionally set in a barn or stable and include Mary, Joseph, the child Jesus, angels, shepherds and the Three Wise Men, Balthazar, Melchior, and Caspar, who are said to have followed a star, known as the Star of Bethlehem, and arrive after his birth.[16]
Christmas worldwide
Main article:
Christmas worldwide
Christmas Day is celebrated as a major festival and public holiday in most countries of the world, even in many which are not majority Christian. In some non-Christian countries periods of former colonial rule introduced the celebration, in others, Christian minorities or foreign cultural influences have led populations to take it up. Major exceptions, where Christmas is not a formal public holiday, include China, (excepting Hong Kong and Macao), Japan, Saudi Arabia, Algeria, Thailand, Nepal, Iran, Turkey and North Korea.
While most countries celebrate Christmas on December 25 each year, some national churches including those of
Russia, Georgia, Egypt, Armenia, the Ukraine and Serbia celebrate on January 7. This is because of their use of the traditional Julian Calendar, under which December 25 falls on January 7 as measured by the standard Gregorian Calendar.
Around the world, Christmas celebrations can vary markedly in form, reflecting differing cultural and national traditions. Countries like Japan and Korea where Christmas is popular despite there being only a small number of Christians, adopt many of the secular trappings of Christmas such as gift-giving, decorations and Christmas trees

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เทคนิคการอ่านภาษาอังกฤษ

เทคนิคการอ่านภาษาอังกฤษ


จากการเคยทำข้อสอบเกี่ยวกับ ส่วนของ reading ที่เราเคยกลัวและคิดว่าเป็นเรื่องยาก แต่เราได้เทคนิดดี ๆ มาฝาก เริ่มจากการต้องปรับเปลี่ยนวิธีการอ่าน จากที่เคยอ่านแบบละเอียดแปลทุกข้อความ หรือคิดว่าต้องรู้ศัพท์ทุกตัวจึงจะทำข้อสอบหรืออ่านได้ดี แต่เป็นการคิดผิด ความจริงไม่จำเป็นเลยที่ต้องเข้าใจคำศัพท์ทุกตัว เทคนิคการอ่านจับใจความด้วยเวลาที่รวดเร็วสรุปแล้วสำหรับเรามีหลักอยู่ 5 ข้อ


1. ขั้นแรกถ้าในการทำข้อสอบ เราต้องเริ่มที่คำถาม เพราะว่าในการสอบอ่านตั้งมากมายเพื่อมาตอบคำถามเพียง 4-5 คำถาม ดังนั้นเราควรตรวจสอบคำถามก่อน ทำให้ลดขอบเขตที่ต้องสนใจหรือจับใจความสำคัญลดลง


2. หลังจากตรวจสอบคำถาม เราก็มาเริ่มอ่านโดยอ่านอย่างรวดเร็ว และอ่านรวดเดียวจนจบเรื่อง อย่าพยายามกลับมาอ่านประโยคที่อ่านผ่านไปแล้ว เพราะมันจะทำให้เรางง และก็งง


3. อย่าสะดุดนะเมื่อเจอคำศัพท์ที่ตนไม่รู้ นี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนส่วนมาก รวมทั้งเราที่เป็นหนึ่งในนั้น มันไม่จำเป็นเลยที่เราต้องรู้ความหมายของศัพท์ทุกตัว เพราะสามารถเดาความหมายได้จากบริบทคำแวดล้อมได้ จะได้ลองหัดเดาคำศัพท์ด้วยไง


4. จินตนาการ เป็นสิ่งที่สำคัญเพราะบางที่ทำให้เราได้เข้าใจสิ่งที่เค้าต้องการจะบอกได้ดีและพยายามเดาเรื่องราว วาดภาพในใจตามไปด้วยเช่นถ้ากล่าวถึงหมีแพนด้า เราก็จินตนาการภาพไปด้วยว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร หรือว่ามันอาศัยอยู่ที่ไหน กินอะไรเป็นอาหาร ก็ทำให้เราเข้าใจเนื้อเรื่องมากขึ้น


5. พยายามสรุปในสิ่งที่อ่านเค้าต้องการบอกอะไร และสามารถตั้งคำถามเอง ตอบเองได้ และฝึกฝนด้วยการอ่านให้มากขึ้นก็มีเทคนิดการอ่านแต่ละประเภทแยกย่อยไปอีกแล้วเดี๋ยวมาแยกประเภทการอ่านอีกทีนะ ซึ่งตอนนี้เรากำลังปรับเปลี่ยนตัวเองให้ไม่ยึดติดกับการแปลความหมายคำต่อคำ นอกจากรูปประโยคที่แปลไม่สวย แล้วยังแปลผิดๆ ถูกๆ อีก